หลาย ๆ คนคงเคยคิดว่าที่ตัวเองน้ำหนักลงช้านั้นเป็นเพราะ “ระบบเผาผลาญ” ไม่ดี หรือว่าทำงานช้าเกินไป แต่นั่นเป็นข้ออ้างจริงๆ หรือไม่? ระบบเผาผลาญเป็นตัวการที่ทำให้น้ำหนักของคุณลงช้าจริงหรือ? และเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะเร่งระบบเผาผลาญเพื่อให้เบิร์นแคลอรี่ได้มากขึ้น?
เป็นความจริงที่การเผาผลาญเชื่อมโยงกับน้ำหนัก แต่ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่วไป การเผาผลาญอาหารช้ามักไม่ใช่สาเหตุของการเพิ่มน้ำหนักด้ว แม้ว่าการเผาผลาญของคุณจะส่งผลต่อความต้องการพลังงานพื้นฐานของร่างกาย แต่ปริมาณที่คุณกินและดื่มควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่คุณได้รับคือสิ่งที่กำหนดน้ำหนักในท้ายที่สุด
ระบบเผาผลาญ หรือ Metabolism (เมแทบอลิซึม): เปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงาน
เมแทบอลิซึมเป็นกระบวนการที่ร่างกายแปลงสิ่งที่กินและดื่มให้เป็นพลังงาน ในระหว่างกระบวนการที่ซับซ้อนนี้ แคลอรี่ในอาหารและเครื่องดื่มจะถูกรวมเข้ากับออกซิเจนเพื่อปลดปล่อยพลังงานที่ร่างกายต้องการในการทำงาน แม้ว่าคุณจะพักผ่อน ร่างกายก็ยังต้องการพลังงานสำหรับการทำงานที่ “ซ่อนเร้น” ทั้งหมด เช่น การหายใจ การไหลเวียนของเลือด การปรับระดับฮอร์โมน และการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมเซลล์ จำนวนแคลอรีที่ร่างกายใช้เพื่อทำหน้าที่พื้นฐานเหล่านี้เรียกว่าอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน ซึ่งคุณอาจเรียกว่าเมแทบอลิซึม
มีหลายปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดเมแทบอลิซึมพื้นฐาน เช่น
- ขนาดและองค์ประกอบร่างกาย ผู้ที่มีขนาดร่างกายใหญ่ขึ้นหรือมีกล้ามเนื้อมากกว่าจะเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่า แม้พวกเขาจะไม่ได้ออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายน้อยกว่า
- เพศ ผู้ชายมักจะมีไขมันในร่างกายน้อยกว่าและมีกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิงที่อายุเท่ากันและมีน้ำหนักเท่ากัน ซึ่งหมายความว่าผู้ชายจะเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่า
- อายุ เมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณของกล้ามเนื้อมีแนวโน้มลดลงและไขมันมีส่วนทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ทำให้การเผาผลาญแคลอรี่ช้าลง
ความต้องการพลังงานสำหรับการทำงานพื้นฐานของร่างกายค่อนข้างสม่ำเสมอและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย นอกจากอัตราการเผาผลาญพื้นฐานแล้ว อีก 2 ปัจจัยที่กำหนดจำนวนแคลอรีที่ร่างกายเผาผลาญในแต่ละวัน ได้แก่
- การแปรรูปอาหาร (Thermogenesis หรือ เทอร์โมจีนีซิส) การย่อย การดูดซับ การขนส่ง และการจัดเก็บอาหารที่คุณกินก็ต้องใช้แคลอรีเช่นกัน แคลอรี่ประมาณ 10% จากคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่กินนั้นถูกใช้ในระหว่างการย่อยอาหารและการดูดซึมอาหารและสารอาหาร
- การออกกำลังกาย เช่น การเล่นเทนนิส เดินไปที่ร้าน วิ่งเล่นกับสุนัขและการเคลื่อนไหวอื่นๆ คำนวณแคลอรี่ที่เหลือที่ร่างกายของคุณเผาผลาญในแต่ละวัน การออกกำลังกายเป็นปัจจัยส่วนใหญ่ที่กำหนดจำนวนแคลอรีที่คุณเผาผลาญในแต่ละวัน
นักวิทยาศาสตร์เรียกกิจกรรมที่ทำทั้งวันว่า “ออกกำลังกายโดยไม่ได้ตั้งใจ” กิจกรรมนี้รวมถึงการเดินจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้อาจใช้พลังงานประมาณ 100 ถึง 800 แคลอรี่ที่ใช้ทุกวันได้ด้วยเหมือนกัน
เมแทบอลิซึมและน้ำหนัก
มีที่ให้ลงเวลาน้ำหนักไม่ลงตามที่หวังด้วยการตำหนิการเผาผลาญของคุณมันก็ดูเป็นเรื่องที่ให้อ้างได้อยู่นะ แต่เนื่องจากเมแทบอลิซึมเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ ร่างกายจึงมีกลไกหลายอย่างที่ควบคุมมันให้ตรงกับความต้องการส่วนบุคคล เฉพาะในบางกรณีที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากเกินไปจากปัญหาทางการแพทย์ที่ทำให้การเผาผลาญอาหารช้าลง เช่น Cushing’s syndrome หรือมีต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย (Hypothyroidism) เงื่อนไขของโรคแบบนี้ก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน
แต่ความจริงแล้วน้ำหนักที่ขึ้นหรือลงนั้นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เป็นไปได้ว่าอาจเป็นการผสมผสานระหว่างพันธุกรรม การควบคุมฮอร์โมน องค์ประกอบด้านอาหาร และผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อไลฟ์สไตล์ของคุณ ซึ่งรวมถึงการนอนหลับ การออกกำลังกาย และความเครียด ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลในสมการพลังงาน คุณจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเมื่อคุณกินแคลอรี่มากกว่าที่คุณเผาผลาญ หรือเผาผลาญแคลอรี่น้อยกว่าที่คุณกิน สมการก็เท่านี้เอง
แม้ว่าจะเป็นความจริงที่บางคนดูเหมือนจะสามารถลดน้ำหนักได้เร็วกว่าและง่ายกว่าคนอื่นๆ แต่ทุกคนจะลดน้ำหนักเมื่อเผาผลาญแคลอรีมากกว่าที่กิน ในการลดน้ำหนัก คุณต้องสร้างการขาดดุลพลังงานโดยการกินแคลอรี่น้อยลงหรือเพิ่มจำนวนแคลอรี่ที่คุณเผาผลาญผ่านการออกกำลังกายหรือทั้งสองอย่าง นี่ต่างหากคือกุญแจสำคัญ ดังนั้น หากน้ำหนักไม่ลงอย่าเพิ่งโทษระบบเผาผลาญนะคะ ให้ดูพฤติกรรมและสำรวจทุกปัจจัยที่เป็นไปได้ก่อน