“รก” เป็นอวัยวะมีเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ โดยเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างทารกในครรภ์กับมารดา ในสตรีตั้งครรภ์ปกติทั่วไป รกจะเกาะอยู่บริเวณส่วนบนของมดลูก หากรกมาเกาะบริเวณส่วนล่างของมดลูก หรือคลุมมาถึงด้านในของปากมดลูก เรียกว่า “รกเกาะต่ำ” ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่ปกติ และอาจรุนแรงถึงชีวิตได้ค่ะ
“ภาวะรกเกาะต่ำ” (Placenta Previa)
แบ่งออกเป็น 4 ชนิด
- รกคลุมปากมดลูกด้านในทั้งหมด
- รกคลุมปากมดลูกบางส่วน
- รกอยู่ขอบปากมดลูกด้านใน
- ชายรกใกล้ปากมดลูกมากกว่า 2 ซม.
การที่รกเกาะต่ำ จะทำให้เกิดมีเลือดออกทางช่องคลอดในสตรีตั้งครรภ์ มักเกิดในช่วงที่ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 7-8 เดือน
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะรกเกาะต่ำ
- ตั้งครรภ์หลายครั้ง เพราะในแต่ละครั้งจะต้องมีการสร้างรก รกที่สร้างขึ้นมักจะย้ายที่เกาะไปเรื่อยๆ เพราะตำแหน่งเดิมจะมีแผลเป็นและมีเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ รกจึงย้ายมาเกาะใกล้ปากมดลูกแทน
- มีการผ่าตัดคลอดบุตรมาก่อน ยิ่งผ่าตัดหลายครั้ง ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น
- เคยผ่าตัดบริเวณมดลูกจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่การผ่าคลอด เช่น เนื้องอกมดลูก หรือเคยขูดมดลูก
- มดลูกรูปร่างผิดปกติ หรือรกมีความผิดปกติ ได้แก่ รกชนิดแผ่นใหญ่กว่าปกติหรือบางกว่าปกติ
- ตั้งครรภ์แฝดหรือเคยตั้งครรภ์แฝด เนื่องจากรกจะมีขนาดใหญ่ เพราะต้องทำหน้าที่นำเอาสารอาหารมาเลี้ยงลูกมากกว่าปกติ การขยายใหญ่ของรกจึงอาจทำให้เกิดภาวะรกเกาะต่ำได้
- เลือดไปเลี้ยงผนังมดลูกไม่ดี เช่น ผลจากการใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน, แม่อายุมาก ตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ยิ่งอายุมากยิ่งเสี่ยงสูง, แม่สูบบุหรี่จัด
- ทารกมีภาวะซีด ร่างกายแม่จึงพยายามเพิ่มออกซิเจนไปยังลูก ทำให้รกเพิ่มขนาด ขยายใหญ่ขึ้น รกจึงแผ่ขยายลงมาเกาะถึงด้านล่างของมดลูก เช่น ภาวะธาลัสซีเมีย
- ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง
- การติดเชื้อในครรภ์ เช่น ซิฟิลิส
สำหรับภาวะแทรกซ้อนในภาวะรกเกาะต่ำที่อาจพบได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ได้แก่ มีการเสียเลือดมาก จนเกิดภาวะซีด หรือช็อก, อาจต้องผ่าตัดคลอด, มีการตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี, รกเกาะลึกผิดปกติ อาจต้องตัดมดลูกหลังผ่าตัดคลอดทารกแล้ว ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่พบในทารกอาจนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนด หรือถึงขั้นเสียชีวิต หากคุณแม่เสียเลือดมาก และแพทย์ช่วยเหลือไม่ทัน
การป้องกันภาวะรกเกาะต่ำเป็นเรื่องที่ป้องกันยาก สิ่งที่พอจะทำได้ คือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมถึงตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ หากสงสัยว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์นะคะ