เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมเด็กๆ สมัยนี้จึงเป็นภูมิแพ้กันมากมาย แพ้นู่นแพ้นี่สารพัด อาจจะมาจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสารปนเปื้อน แต่งเติมในอาหาร ซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันของเด็กเปลี่ยนไป แน่นอนว่าสาเหตุเหล่านี้สามารถส่งผลต่อภูมิคุ้มกันของลูก แต่จากผลการวิจัยของนักวิชาการบางท่านมองว่าการดำเนินชีวิตและอาหารที่แม่กินในช่วงตั้งแต่ก่อนตั้งท้องรวมไปถึงตอนตั้งท้องด้วย เพราะอาหารและสิ่งแวดล้อมสามารถส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของรหัสทางพันธุกรรมในแม่ที่ถ่ายทอดมาสู่ลูก
ดังนั้นคุณแม่ที่อยู่ระหว่างตั้งท้อง ควรกินอาหารให้ครบทุกหมู่ในประมาณที่สมดุลกัน อย่าเน้นอย่างหนึ่งอย่างใดมากเกินไป อย่างความเชื่อที่ได้ยินบ่อยๆ เช่น ให้ดื่มนมมากๆ กินไข่เยอะๆ จากเดิมสัปดาห์ละ 2 ฟอง เพิ่มเป็น 7 ฟอง ซึ่งคุณแม่ที่มีลูกแพ้อาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง เมื่อถามประวัติมักจะพบว่าเป็นคุณแม่ที่พึ่งมากินอาหารนั้น เพิ่มช่วงตั้งท้อง
เหมือนกับว่าปกติร่างกายไม่เคยได้รับโปรตีนชนิดนี้ในปริมาณมากขนาดนี้ เช่น ระบบของร่างกายคุ้นเคยกับการจัดสมดุลของโปรตีนจากไข่ที่ 3 ฟองต่อสัปดาห์ เมื่อได้รับมากเกินไป ร่างกายไม่สามารถปรับสมดุลได้ จึงส่งต่อไปที่ลูก เกิดเป็นผลเสียตามมาได้ค่ะ อะไรที่มากเกินไป แม้จะดีขนาดไหนก็ย่อมเกิดพิษ หรือผลเสียได้เหมือนกัน
ถ้าคุณแม่ไม่แน่ใจว่าจะจัดสมดุลอาหารของตัวเองอย่างไร ควรศึกษาหาข้อมูลโดยใช้วิจารณญาณในการเลือกรับข้อมูล และต้องพิจารณาศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ หรือถ้าจะให้ดีควรปรึกษาคุณหมอดีกว่าค่ะ
ปัจจุบันเราพบว่าความรุนแรงของภูมิแพ้มีมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น มีเด็กที่ได้นมวัวหรือกินแป้งสาลีแล้ว มีอาการแพ้รุนแรงฉับพลันถึงกับช็อกไปเลย ซึ่งเมื่อก่อนเราพบกรณีแบบนี้ในคนไทยน้อยมาก แต่กลับมาพบมากขึ้นในเด็กไทยสมัยนี้ จึงอยากแนะนำให้ทุกคนกลับไปสู่วิถีธรรมชาติ ใช้สารเคมีให้น้อยลง ลดสารปรุงแต่งในอาหารใส่ใจอาหารที่กินเข้าไปให้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบต่อยีนหรือสารพันธุกรรมในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลต่อลูกที่จะเกิดมาในอนาคตได้ค่ะ