พ่อแม่ทุกคนย่อมอยากเห็นลูกน้อยเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์พร้อมทั้งไอคิว อีคิว ฉะนั้น การส่งเสริมพัฒนาการต่างๆ ของลูกตั้งแต่ปฐมวัยจึงเป็นรากฐานสำคัญที่พ่อแม่ไม่ควรละเลย ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เจ้าตัวซนพัฒนาไอคิว อีคิว และภาษาได้เป็นอย่างดี คือ…
“หนังสือนิทาน”
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า
ปัจจุบันมีผู้ผลิตและจำหน่ายของเล่นเพื่อสร้างพัฒนาการของเด็กจำนวนมาก รวมทั้งมีเทคโนโลยีใหม่ๆ มากับของเล่นมากขึ้น แต่หนังสือนิทานก็ยังเป็นเครื่องมือสำคัญอันดับต้นๆ ที่กรมอนามัยสนับสนุนให้พ่อแม่เลือกใช้เพื่อส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีตามช่วงอายุ โดยรณรงค์ให้พ่อแม่อ่านนิทานให้ลูกฟังมากขึ้น เพื่อส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางด้าน IQ EQ ที่ดี
เมื่อโตขึ้นเด็กจะเข้าใจภาษา คำศัพท์ และส่งผลให้มีพัฒนาการที่ดีกว่าเด็กในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้อ่านหนังสือให้ฟัง ซึ่งงานวิจัยยังพบว่า แม้สถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวของเด็ก จะมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก แต่เมื่อเปรียบกับการอ่านนิทานให้เด็กฟังแล้ว กลับพบว่า ความสนใจและความถี่ในการอ่านหนังสือให้เด็กฟัง มีผลต่อพัฒนาการของเด็กมากกว่าสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวอย่างชัดเจน
พ่อแม่เป็นบุคคลที่รับบทบาทสำคัญที่สุดเพื่อจะสร้างเสริมเชาว์ปัญญาของเด็กตั้งแต่เด็กเล็ก โดยใช้นิทานเป็นสื่อพัฒนาทักษะการ ฟัง การพูด ให้ความรู้ ความสนุกสนาน และจินตนาการแก่เด็ก อีกทั้งฝึกสมาธิให้เด็กจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟัง เตรียมความพร้อมด้านการอ่านหนังสือ และปลูกฝังคุณธรรม รวมทั้งนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กไปพร้อมกัน
โดยเฉพาะในช่วง 6 ปีแรก ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของการวางรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กเติบโตและพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ พ่อแม่ควรเล่านิทานให้ลูกฟังอย่างสม่ำเสมอ วันละครั้งก่อนนอน และแม่สามารถเล่านิทานได้ตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์ด้วย
ทั้งนี้ หนังสือนิทานที่ดีควรสอดคล้องกับความสนใจตามวัยของเด็ก เป็นเรื่องสั้นๆ มีรูปภาพเหมือนจริง เรื่องราวเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อน สนุกสนาน เนื้อหาน่าติดตาม ใช้ภาษาถูกต้อง ตัวหนังสือควรมีสีเข้ม อ่านได้ชัดเจน มีภาพประกอบสีสันสวยงาม
นอกจากช่วยเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กแล้ว สิ่งสำคัญคือ การเล่านิทานเป็นการสร้างสายใยรัก ความอบอุ่นระหว่างพ่อแม่ลูกได้ดีที่สุด อันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัวค่ะ