ไม่ว่าใครก็อยากให้ลูกฉลาด แต่อะไรบ้างที่ทำให้ลูกฉลาด และพ่อแม่จะมีวิธีส่งเสริมให้ลูกฉลาดได้อย่างไร ไปติดตามกันเลยค่า
อาหาร
นอกจากอาหารจะช่วยให้ลูกน้อยเจริญเติบโตแล้ว สารอาหารบางชนิดส่งผลโดยตรงต่อความฉลาดของลูก เพราะสารอาหารจะเข้าไปมีส่วนช่วยในพัฒนาการของการเจริญเติบโตของสมอง ฉะนั้นถ้าเด็กมีภาวะขาดสารอาหาร จะมีผลต่อการเรียนรู้ จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการขาดสารอาหาร มีผลงานวิจัยที่ชัดเจนว่า เด็กที่ได้รับสารอาหารที่ดีจะมีประสิทธิภาพในการอ่าน การคิดเลขที่ดีกว่าเด็กที่ขาดสารอาหาร และในเด็กบางกลุ่ม อาจจะมีปัญหาโรคสมาธิสั้นก็เป็นได้ ฉะนั้นการให้ลูกรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอ จะทำให้พัฒนาการทั้งร่างกาย การเรียนรู้เป็นไปอย่างสมบูรณ์
สารอาหารที่สมองต้องการเป็นพิเศษ เช่น…
กรดไขมันโอเมก้า 3 หรือ DHA
มีการเสนอผลงานของการตรวจระดับ DHA ในเลือดของเด็กอายุ 4 ปี ที่มีสุขภาพแข็งแรงพบว่า ถ้ายิ่งมี DHA ในเลือดมากเท่าใด เด็กก็จะทำแบบทดสอบด้านการรับรู้ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น โอเมก้า 3 มีผลต่อระบบการทำงานของสมอง และระบบประสาท (จอตา) รวมทั้งช่วยปกป้องการทำงานของหัวใจให้เป็นไปตามปกติ ซึ่งอาหารที่พบโอเมก้า 3 มากก็คือ ปลาทะเล ปลาน้ำจืด ผักใบเขียว
ธาตุเหล็ก
เราอาจจะคุ้นเคยกับประโยชน์ของธาตุเหล็กในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือด แต่ธาตุเหล็กก็ยังมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างไขมันสมอง และสารเคมีในสมอง ซึ่งทำให้การทำงานของสารเคมีเป็นไปอย่างปกติ การเรียนรู้ของลูกน้อยก็จะดีไปด้วยเช่นกัน
การเตรียมอาหารให้ลูกด้วยตัวเอง ยังคงเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ เพราะอาหารที่ทำเองย่อมสะอาดกว่าอาหารนอกบ้าน คุณพ่อคุณแม่สามารถกำหนดรสชาติ และความสดของวัตถุดิบ รวมถึงให้ลูกคุ้นเคยกับการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ไม่พึ่งพาอาหารนอกบ้านมากเกินไป
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายของเด็กเล็ก ๆ นั้นดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต เพราะเด็กวัยเตาะแตะ เป็นวัยที่กำลังพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ให้แข็งแรงและคล่องแคล่ว เด็กอยากจะเดินจะวิ่งและเล่นอยู่เกือบตลอดเวลา การออกกำลังกาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับความฉลาดของลูก เพราะเมื่อร่างกายได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิตแข็งแรง ปอดมีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนเพิ่ม มีความสุข สบายใจ เนื่องจากร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟิน และหลับสนิทได้ต่อเนื่องร่างกายก็จะหลั่ง Growth Hormones เมื่อร่างกายพร้อมก็ ย่อมพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน
สิ่งที่พ่อแม่ควรส่งเสริม คือ ให้ลูกมีโอกาสได้เล่นกลางแจ้ง จัดสถานที่ให้ปลอดภัยต่อการหัดเดิน หัดวิ่งของลูก คอยระวังเรื่องอากาศบ้าง ถ้าลูกเล่นมาก เหงื่อออกมาก อย่าลืมป้อนน้ำลูกให้บ่อยขึ้น และสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
หยุดเลี้ยงลูกด้วย TV
หลายปีมานี้ คุณแม่คงเคยได้ยินหรือได้รับทราบข่าวสารถึงพิษภัยของทีวีกับเด็กเล็กมาบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การพัฒนาการเด็กค่อนข้างให้ความสำคัญ และเป็นประเด็นกันบ่อยครั้ง ว่าการเปิดทีวีให้เด็กดูนั้น ไม่ได้ช่วยพัฒนาสมองเด็ก แถมยังเป็นหนามแหลมกลับมาทำร้ายลูกเราได้ด้วย มีการวิจัยรับรองมากมายว่าการให้เด็กเล็กดูทีวีมีผลเสีย บางรายเป็นโรคสมาธิสั้นเพราะทีวี ภาพเคลื่อนไหวหน้าจอจะดึงดูดความสนใจของเด็ก ซึ่งเด็กจะได้ดูภาพ (ได้แค่ภาพสองมิติ) กับ
ได้ยินเสียง แต่ไม่สามารถตอบโต้กับเด็กได้ และเป็นการรับสารฝ่ายเดียว ซึ่งขัดกับหลักการเรียนรู้ของเด็กที่ต้องเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหก แต่ทีวีตอบสนองสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เมื่อเด็กได้ดูทีวีมาก ๆ สมองที่ควรจะได้รับการเรียนรู้ กลับไม่ได้รับการกระตุ้น ทำให้สมองส่วนรับประสาทสัมผัสอื่น ๆ ฝ่อไป(สมองจะดีได้ ต้องถูกใช้งานเป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ) แถมรายการที่ฉายก็ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก ทั้งในเรื่องภาพ คำพูด หรือการโฆษณาต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ไม่น่าเลียนแบบ ฉะนั้นถ้าพ่อแม่ยังคิดว่า การเลี้ยงลูกด้วยทีวีเป็นเรื่องง่าย สามารถหยุดความซนของลูกวัยนี้ได้ ก็เท่ากับทำร้ายลูกตัวเองในระยะยาวก็เป็นได้
การหากิจกรรมอื่น ๆ ให้ลูกทำ สิ่งที่ลูกได้จะไม่ใช่คำพูดแปลก ๆ เลียนแบบในจอ หรือท่าทาง เลียนแบบตัวการ์ตูน แต่จะได้ประสบการณ์จากการเล่น ได้จับ ได้สัมผัส ที่สำคัญคือ ได้คิดต่อยอดสิ่งที่ตัวเองได้เล่น เช่น ปั้นแป้งโดว์ ต่อบล็อก อ่านนิทาน
สรุปว่าความฉลาดของลูกนั้นขึ้นอยู่กับสองมือของพ่อและแม่แหละค่ะ