เด็กกับขนมเป็นของคู่กัน และเพราะมีขนมมากมายหลายประเภทวางขายล่อตาเจ้าตัวเล็ก ทั้งที่มีประโยชน์ไปจนถึงไม่มีประโยชน์แถมพ่วงด้วยอันตรายที่แฝงมาจากการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน หากพ่อแม่ปล่อยปละละเลย อาจทำให้เจ้าตัวซนเจ็บป่วยได้ ดังกรณีที่มีเด็กป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเหตุเพราะกินขนม!
จากกรณีมีการแชร์เตือนภัยทางโซเชียลมีเดีย พบเด็กเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการเวียนหัว อาเจียน นอนซึม ตาลอย และไม่มีอาการตอบสนอง หลังบริโภคขนมที่มีลักษณะเป็นผงคล้ายเกล็ดน้ำตาล มี 2 สี 2 รสชาติ บรรจุในขวดเล็กๆ รูปร่างเหมือนขวดน้ำอัดลม สีดำ บนฉลากเขียนคำว่า…
BLACK POWDER
ที่มาภาพ
และมีข้อความเป็นภาษาจีน โดยไม่มีข้อความภาษาไทย รวมถึง เลข อย. ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นเรื่องจริง มีเด็ก 1 คนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เพราะกินขนมดังกล่าว ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าซื้อมาจากงานประจำปีจังหวัด
เพื่อความปลอดภัยของเด็กๆ พ่อแม่ควรดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิดในเรื่องการเลือกซื้อขนม อย่าซื้อขนมที่มีสีสันฉูดฉาด หรือบรรจุในภาชนะที่แปลก ดูน่าสนใจ ไม่มีเลขสารบบอาหาร 13 หลักในกรอบเครื่องหมาย อย. และไม่มีข้อความภาษาไทยบนฉลาก มาบริโภคเด็ดขาด
เนื่องจากอาจได้รับอันตรายจากอาหารใส่สี อาหารที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีสารปนเปื้อนต่างๆ ที่เป็นอันตราย ไม่ควรซื้อขนมที่ใส่สีสูดฉาด ไม่ควรเลือกขนมกรอบ หรือขนมเคลือบน้ำตาลที่เหนียวติดฟัน ไม่ควรซื้อขนมที่มีไขมัน เกลือ และน้ำตาลสูง ส่วนเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ไม่ควรให้กินลูกอม นมอัดเม็ด หรือถั่ว เพราะเด็กอาจสำลักได้ รวมถึงเสี่ยงฟันผุ
ควรเลือกบริโภคขนมที่มีข้อความบนฉลากเป็นภาษาไทย ประกอบด้วย ชื่ออาหาร ส่วนประกอบของอาหารชื่อและที่ตั้งผู้นำเข้าหรือผู้จำหน่าย เลขสารบบอาหาร 13 หลัก (เลข อย.) วันที่ควรบริโภคก่อน สภาพภายนอกของบรรจุภัณฑ์ต้องสมบูรณ์ ไม่มีรอยบุบหรือฉีกขาด มีการเก็บรักษาในสภาพที่เหมาะสม และควรซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ ที่สำคัญควรจำกัดปริมาณการกินขนมของเด็กไม่ให้มากไปเพื่อป้องกันโรคอ้วน
อย่าใจอ่อนไปกับความน่ารักของลูกจนปล่อยให้เจ้าตัวซนซื้อขนมกินเองหรือหม่ำตามใจปาก เพราะขนมหรือลูกอมชิ้นเล็กๆ อาจทำให้ลูกรักเจ็บป่วยหรือถ้าโชคร้ายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ