คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตไหมคะว่า ปัจจุบันนี้เด็กๆ มักจะไม่ค่อยนิ่ง ขาดสมาธิ และมีเปอร์เซ็นต์เสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น หรือ Hyperactive มากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็อาจจะเป็นเพราะสิ่งเร้ารอบตัวของสังคมสมัยใหม่มีเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเกมคอมพิวเตอร์, smart phone, tablet, โทรทัศน์, ภาพยนตร์, การ์ตูน สิ่งเหล่านี้สามารถหาได้ง่ายดายและ unlimited คือ สามารถดู/ เล่นตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะการ์ตูนที่ปัจจุบันมีโครงข่ายดาวเทียมมีช่องการ์ตูนตลอด 24 ชม. หรือแผ่น DVD ที่ทำให้เด็กๆ เปิดดูซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ไม่รู้กี่รอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ลูกมีสมาธิน้อยลงเพราะถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าอยู่ตลอดเวลา วิธีที่ดีที่สุดที่พาลูกออกห่างจากสิ่งเร้าเหล่านี้คือการหากิจกรรมที่จะดึงลูกออกจากจอทั้งหลายค่ะ
อ่านนิทาน
การอ่านมีประโยชน์มากมายมหาศาล การอ่านนิทานแน่นอนว่าต้องได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน นอกจากนี้ยังทำให้ลูกมีสมาธิจดจ่อกับเรื่องราว ภาพ ตัวอักษร น้ำเสียงของคุณพ่อคุณแม่ที่อ่านให้ลูกฟัง เกิดการคิดตาม จดจำ รู้จักตั้งคำถาม อีกทั้งยังเป็นการปูพื้นฐานทักษะการอ่านให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ก็มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น ถือเป็น Quality time สำหรับครอบครัวจริงๆ ค่ะ
ออกกำลังกาย
การฝึกให้ลูกมีสมาธิ ไม่ได้หมายถึงกิจกรรมที่ต้องทำให้ลูกอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้นะคะ เด็กก็คือเด็กที่ต้องการกระโดดโลดเต้นเพื่อปล่อยพลังงานที่มีอย่างเหลือเฟือในร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายโดยใช้กิจกรรมที่สร้างสรรค์มีประโยชน์ เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ปิงปอง เทนนิส ขี่ม้า กระโดดเชือก ฯลฯ ก็จะทำให้ลูกร่างกายแข็งแรง สมองปลอดโปร่ง หลังออกกำลังกายลูกจะนิ่งขึ้นเนื่องจากได้ปลดปล่อยพลังงานในตัวเอง
เล่นดนตรี/ ฟังดนตรี
จังหวะเพลงมีผลต่ออารมณ์และการเคลื่อนไหวของคนเราอย่างมากนะคะ เพลงคลาสสิกหรือเพลงไทยเดิมจังหวะช้าๆ สม่ำเสมอจะทำให้ลูกผ่อนคลายสบายใจ หากลูกได้ฝึกเล่นดนตรีบ้างก็จะยิ่งได้ฝึกใช้สมาธิ และเป็นการระบายออกทางอารมณ์ส่วนหนึ่งได้ด้วยค่ะ
งานศิลปะ
งานศิลปะทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นวาดรูประบายสี การปั้น ตัดแปะ พับกระดาษ งานประดิษฐ์ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมให้ลูกมีสมาธิ ฝึกความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ และยังฝึกให้ลูกมีความอดทนมานะพยายาม เพื่อที่จะได้ผลสำเร็จที่ตั้งใจไว้ออกมาเป็นผลงานของตัวเองค่ะ!