“โรคไข้เลือดออก” เป็นโรคที่มาพร้อมกับ “ยุงลาย” ที่มีอายุสั้นเพียง 7 วันเท่านั้น โดยโรคนี้สามารถเป็นได้ทุกฤดูกาล ขอเพียงมีแหล่งน้ำขัง ที่สามารถเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ แต่ในฤดูฝนมีความเสี่ยงสูงขึ้น เพราะปริมาณน้ำมากทำให้เกิดแหล่งน้ำขังได้ในหลายพื้นที่ ไม่อยากเสี่ยงก็ต้องรู้จักสัญญาณของโรคนี้ค่ะ
ข้อมูลจาก นพ.ธีรพล โตพันธานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า…
กลุ่มอายุที่พบเป็นโรคไข้เลือดออกมาก คือ กลุ่มเด็กอายุระหว่าง 10 – 14 ปี ในขณะที่กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเสียชีวิตสูง เมื่อป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก คือ กลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี กลุ่มผู้สูงอายุ คนท้อง คนอ้วน หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเลือด ซึ่งผู้ป่วยที่เข้าข่ายความเสี่ยงนี้ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์
9 สัญญาณอาการเสี่ยงที่จะเป็นโรคไข้เลือดออก
โดย นพ.สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ได้แก่…
- ไข้ลงหรือไข้ลดลงแต่อาการเลวลง ยังเบื่ออาหาร ไม่ค่อยเล่น และอ่อนเพลีย
- คลื่นไส้ อาเจียน ตลอดเวลา
- ปวดท้องมาก
- มีเลือดออกมาก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
- พฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไปจากปกติ
- กระหายน้ำตลอดเวลา
- ร้องกวนมากในเด็กเล็ก
- ตัวเย็น สีผิวคล้ำลง หรือตัวลาย
- ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ถ่ายปัสสาวะนานเกิน 4-6 ชั่วโมง แม้ว่าไข้เริ่มจะลดลงแล้วควรต้องไปพบแพทย์
การป้องกันโรคไข้เลือดออกสามารถทำได้ 3 ขั้นตอน
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกในเด็กอายุตั้งแต่ 9 ปี จนถึงผู้ใหญ่อายุ 45 ปี แบ่งการฉีดเป็น 3 เข็ม ระยะห่างกัน 6 เดือน (0, 6, 12 เดือน) แต่ไม่แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุน้อยกว่า 9 ปี
- กำจัดทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย เช่น แหล่งน้ำขังในบ้าน การป้องกันตัวเองและสมาชิกในครอบครัวไม่ให้ยุงกัด ด้วยการนอนในมุ้ง ทายากันยุง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนขั้นตอนที่ 3 คือการไปพบแพทย์เมื่อป่วยเป็นไข้ ควรติดตามอาการ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ คนในครอบครัวควรช่วยกันสังเกตอาการของสมาชิกในบ้านด้วยนะคะ