จากผลสำรวจความสุขคนไทย ปี 2558 โดยกรมสุขภาพจิต สำนักงานสถิติแห่งชาติ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม และ สสส. พบว่า การจัดสรรเวลาสำหรับงาน/ชีวิตส่วนตัว/ครอบครัวได้ดี จะมีความสุขมากกว่า 4.2 เท่า ขณะที่ การมีสุขภาพดี จะมีความสุขมากกว่า 3.9 เท่า ฉะนั้นหนทางสู่ความสุขเกิดได้ไม่ยาก
การจัดสรรชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานให้มีประสิทธิภาพ หรือการรู้จักใช้ชีวิตอย่างสมดุลจะช่วยสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีได้ จึงควรทำให้เส้นกั้นระหว่างชีวิตครอบครัวและชีวิตการทำงานเป็นเส้นบางที่สุด อาจทำได้โดยใช้หลักการที่ น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต แนะนำ ดังนี้
ใช้หลัก 8-8-8
โดยแบ่งเวลา 8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน ใช้ความสามารถที่มีอยู่อย่างเต็มที่ด้วยความตั้งใจและเอาใจใส่ในหน้าที่ 8 ชั่วโมงสำหรับการนอนหลับพักผ่อน และ 8 ชั่วโมงสำหรับการดูแลครอบครัว เอาใจใส่คนที่เรารัก ตอบแทนผู้มีพระคุณ ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ชอบ ตลอดจนพัฒนาตนเอง และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง พึงระลึกเสมอว่า ชีวิตนี้ไม่ได้มีแต่งาน เรายังมีครอบครัว มีเพื่อน และคนที่เรารัก
ดูแลรักษาสุขภาพ
พึงระลึกเสมอว่า สุขภาพดีไม่มีขาย ร่างกายคือต้นทุนอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิต ร่างกายที่แข็งแรงจะช่วยให้สามารถทำหลายๆ สิ่งที่อยากทำได้เต็มที่
วางแผนการทำงาน
กำหนดเป้าหมาย จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง เพราะเราไม่สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง อย่าให้ความสำคัญกับทุกเรื่องเท่าเทียมกัน มอบหมายงานที่สำคัญน้อยกว่าให้ผู้อื่นทำแทนบ้าง
ฝึกคิดบวกเสมอ
เพราะแต่ละวันต้องทำงานร่วมกับผู้คนมากมาย ทำให้เกิดความเครียด และอยู่กับความคิดด้านลบได้ เช่น กังวล ท้อแท้ โกรธ เกลียด เสียใจ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะไปกัดกร่อนเวลาและสุขภาพกายใจเราไปทีละน้อย จึงควรหันมาโฟกัสในสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จก่อนจะดีกว่า
ใช้ชีวิตให้พอดี
เดินทางสายกลาง ไม่เครียด หรือสุดโต่งเกินไป อย่าทำให้ตนเองต้องลำบาก หรือหย่อนยานจนเกินไป
การมีคนรักหรือครอบครัวที่อบอุ่น มีความรักความผูกพันที่แน่นแฟ้น ย่อมเป็นกำลังใจสำคัญในการเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต ตลอดจนส่งผลให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามไปด้วย