เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างนี้คาดหวัง  อารมณ์แรกที่จะเกิดขึ้น คือความไม่พอใจ  หรือ เรียกให้แรงก็คือ โกรธ  แต่ถ้าเราโกรธไปเสียก่อนโดยไม่ไตร่ตรองแล้วสิ่งต่างๆ คงจะผิดเพี้ยนไปที่ควรจะเป็น  และคุณอาจจะนึกเสียใจทีหลังก็ได้นะคะ  แล้วจะทำอย่างไรล่ะ  ถ้าเราเกิดจะโกรธเขาซะแล้ว

1.อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ

เช่น เมื่อคุณพ่อบ้านกลับบ้านช้า คุณอาจจะตั้งข้อสงสัย สรุปความตัดสินไปแล้วว่า  ถ้ากลับมาเมื่อไหร่จะระเบิดอารมณ์ใส่  ให้เต็มที่ หรือรอโยนข้าวของเขาออกจากบ้าน  ล็อกห้องไม่ให้ ฯลฯ  ขอให้หยุดตัดสินใจก่อนที่จะได้พูดคุย

2.หาหลักฐานหักล้างข้อสรุปของตัวเองที่ทำให้โกรธ

ข้อนี้อาจจะดูยากไปหน่อย แต่ทำได้ สิ่งที่ควรฝึกทำ  คือ  มองหาเหตุผลอื่นๆ  ที่อาจทำให้เขากลับช้า

3.เอาใจเขามาใส่ใจเรา

ถ้าเราตกที่นั่งเดียวกับเขา ถ้าเราเป็นเขาจะมีอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง ที่ทำให้กลับบ้านช้า อย่างที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Put yourself in your partner’s shoes  แปลว่า ลองใส่ลองเท้าเขาดู  ก็คือในลองเอาตัวเองไปเป็นเขา ยืนอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขานั่นเองค่ะ

4.อย่าพยายามตัดสินว่าใครผิดใครถูก 

ข้อนี้ยากสุดยอดแล้ว เพราะเวลาเราโมโห อย่างไรเราก็ถูกและเขาต้องผิด ลองทำความเข้าใจ สิ่งที่ไอน์สไตน์พูดไว้ ว่า “เมื่อเราขับรถฝ่าสายฝนเราจะเห็นฝนตกลาดเอียงพุ่งชนกระจกหน้าด้วยความแรงและความเร็วสูง ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง คนที่ยืนริมถนนจะบอกว่าฝนตกตั้งฉากกับถนนและตกธรรมดาๆ ไม่ได้เร็วหรือแรงอะไรมากนัก เรื่องปวดหัวคือถูกทั้งคู่ เรื่องทางใจหลายๆ ครั้งก็เป็นอย่างที่ไอน์สไตน์ว่าไว้ เราตีความหมายตามใจเราหรือด้วยมุมมองและตำแหน่งที่เรายืน ซึ่งจะแตกต่างจากมุมมองและตำแหน่งที่ยืนของคู่สมรสขอให้มั่นใจเถิดว่า ถูกทั้งคู่

5.ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น 

ข้อสุดท้ายนี้เป็นลูกตามเสียมากกว่า เมื่อพายุสงบแล้ว โดยเฉพาะพายุในใจเรา ลองถามเขาดูสักคำว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาคิดว่าอย่างไร ข้อนี้ดีตรงที่หากเราตั้งใจฟังจริงๆ จะพบว่าอะไรที่เราคาดเดาไว้ก่อนผิดเสียเป็นส่วนใหญ่ จริงๆ ข้อสุดท้ายนี้คนไทยไม่ชอบทำ เพราะมักถือว่าไฟสงบแล้วก็อย่าไปพัดขึ้นมาใหม่ แต่ฝรั่งเขาชอบทำ AAR-After Action Review แม้จะเรื่องผัวเมียทะเลาะกันก็เถอะ

คำแนะนำทั้ง 5 ข้อนี้  ที่ว่ามานี้ไม่ใช่พูดเรื่องที่พูดกันเล่นๆ เหมือนคำแนะนำประเภท How to ทั่วไปนะคะ   เพราะเป็นคำแนะนำที่ใช้ได้จริง และได้ผลจริง  ไม่เชื่อคราวหน้าลองดูนะคะ