สภาพเศรษฐกิจสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน เทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้า วิถีชีวิตที่เร่งรีบ ล้วนส่งผลให้ประชาชนเผชิญกับความเครียดทุกวันอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะวัยทำงาน ซึ่งต้องรับผิดชอบหลายอย่างทั้งครอบครัวและที่ทำงาน ไม่อยากเครียดจนบั่นทอนสุขภาพกายและจิต เรามีเทคนิคลดเครียดมาฝาก…
หลักปฏิบัติ 10 วิธีเพื่อช่วยลดความเครียด
โดย น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต
- ออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละ 30 นาทีทุกวัน หรือให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ (Endorphins) จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายอาการเครียด สมองโล่ง และอารมณ์ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 90-120 นาทีหลังออกกำลังกาย ช่วยให้นอนหลับสนิทและนานขึ้น
- สร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน โดยใช้คำพูดเหล่านี้ให้ติดปาก ได้แก่ สวัสดีเพื่อทักทาย ขอโทษ ขอบคุณ ชื่นชมอย่างจริงใจเมื่อเพื่อนร่วมงานทำดี
- สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ด้วยการแสดงน้ำใจช่วยเหลือกัน ห่วงใยกัน ให้กำลังใจกัน
- ระหว่างการทำงานควรพักบ้างเพื่อผ่อนคลาย อาจใช้วิธีหลับตาเพื่อพักสายตา 5-10 นาที หรือเดินยืดเส้นยืดสายก็ได้
- ใช้สติจัดการกับอารมณ์
- บริหารจัดการเวลาทำงานอย่างเหมาะสม ให้งานเสร็จทันเวลากำหนด
- กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็น บอกความต้องการในเชิงสร้างสรรค์
- สร้างความเชื่อมั่นให้ตนเอง โดยให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอว่า “เราต้องทำได้”
- ฝึกนิสัยการออมรายได้ส่วนหนึ่งไว้เพื่ออนาคต การมีเงินออมจะทำให้เรามีความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ
- ต้องแก้ไขปัญหาอย่างถูกวิธี อย่าหนีปัญหา โดยแก้ที่สาเหตุ หากแก้ไม่ได้ อย่าอาย หรือกลัวเสียหน้า ขอให้ปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากคนที่ไว้วางใจ
ผู้ที่มีความเครียด หากปล่อยความเครียดสะสม จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวัน มีปัญหาสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้าง ความสามารถในการทำงานลดลงหรือผิดพลาดบ่อย และที่สำคัญความเครียดจะมีผลให้ภูมิต้านทานโรคลดลงที่เห็นได้ชัดเจน คือ เป็นหวัดได้ง่าย นอกจากนี้ ยังมีผลให้การทำงานของอวัยวะภายในผิดปกติ เกิดเป็นโรคเรื้อรังได้ เช่นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มีบุตรยากขึ้น เป็นต้น
ทั้งนี้ หากมีอาการเครียดไม่ควรแก้ไขด้วยวิธีการที่ผิดๆ เช่น กินยานอนหลับเอง หรือดื่มสุรา ใช้สารเสพติดเป็นต้น เพราะอาจเกิดอันตรายได้ ควรหาเวลาไปพบแพทย์เพื่อการรักษาอย่างถูกวิธีค่ะ