ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่ผลิตมาจากสิ่งมีชีวิต เพื่อใช้รักษาโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ยังรู้จักในนาม ยาฆ่าเชื้อ หรือ ยาแก้อักเสบ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า เป็นยาที่มีคุณสมบัติครอบจักรวาล สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทุกชนิด จนหลายคนทำจนติดเป็นนิสัยว่าทุกครั้งที่ป่วยจะต้องเพิ่มยาดังกล่าวรวมอยู่ในรายการยาที่ต้องกิน
ความที่หลายคนเรียกยาปฏิชีวนะว่ายาฆ่าเชื้อหรือยาแก้อักเสบ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า เป็นยาที่มีคุณสมบัติครอบจักรวาล สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทุกชนิด แก้อาการอักเสบได้ทุกชนิด!
ความจริงแล้วยังมีโรคที่เกิดจากภาวะการอักเสบอีกมากมาย ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
นอกจากนี้หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเมื่อเป็นหวัด มีอาการเจ็บคอ น้ำมูกไหลเสียงแหบ มีเสมหะ ต้องกินยาปฏิชีวนะซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะอาการเหล่านี้เป็นอาการของโรคหวัด ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนยาปฏิชีวนะใช้สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไม่ใช่ยาแก้อักเสบอย่างที่หลายคนเรียกกันด้วย
การรักษาโรคหวัด ควรรักษาตามอาการ เช่นถ้าเป็นไข้ ก็กินยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอลหรือเช็ดตัวให้ไข้ลด, ถ้ามีน้ำมูกมาก อาจล้างรูจมูกด้วยน้ำสะอาด เพื่อให้จมูกรู้สึกโล่งขึ้น, ถ้าคัดจมูก อาจกินยาเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก, ถ้ามีอาการเจ็บคอ เสียงแหบหรือไอ ควรลดการใช้เสียงดื่มน้ำอุ่น อาจอมยาอมมะแว้งเพื่อให้ชุ่มคอ,ถ้ามีอาการไอมาก อาจใช้ยาแก้ไอช่วยบรรเทาอาการ
การกินยาปฏิชีวนะให้ได้ผลและปลอดภัย
- เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง โดยกินยาให้ครบตามขนาด และระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เช่น กินก่อนอาหาร (เพราะยาจะออกฤทธิ์ดีตอนท้องว่าง การกินยาก่อนอาหารคือต้องกินก่อนอาหารอย่างน้อย 30 นาที)หรือกินหลังอาหาร และกินติดต่อกันให้ครบกำหนดภายใน 5-7 วัน มิเช่นนั้น อาจไม่ได้ผลต่อการรักษา หรือเกิดเชื้อดื้อยาได้
- อย่าแบ่งยาให้ผู้อื่น เพราะจะทำให้ทั้งเราและผู้อื่นกินยาไม่ครบตามขนาด และอาจรักษาไม่ตรงอาการ
- อย่าเก็บไว้กินครั้งต่อไป เพราะยาอาจหมดอายุ หรืออาจเป็นเชื้อชนิดอื่นที่ไม่สามารถใช้ยานี้รักษาได้
- อย่าใช้ยาปฏิชีวนะตามที่คนอื่นแนะนำ เพราะอาจเป็นอันตราย เนื่องจากอาการแต่ละคนย่อมต่างกัน
ยาปฏิชีวนะไม่ใช่ยาครอบจักรวาล ไม่จำเป็นต้องรับประทานทุกครั้งที่มีอาการป่วย ก่อนใช้ยาควรปรึกษาแพทย์และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น