เพราะความสวยรอไม่ได้ หลายคนเลยลืมใช้สติ ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญก้าวหน้าอย่างมาก จึงมีสารพัดนวัตกรรมเพื่อช่วยให้เราดูดีขึ้น แต่ถ้าเราขาดการศึกษาข้อมูลรวมถึงเลือกใช้บริการที่ไม่ได้มาตรฐาน แทนที่จะได้ความสวยกลับกลายเป็นพลาดหน้าพังแถมโรครุมเร้าแทนซะงั้น
หากต้องการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมความงาม ต้องทำใจยอมรับว่า มีโอกาสเสี่ยงผลกระทบทำให้ตาบอดได้ ยิ่งเป็นหมอเถื่อนโอกาสเสี่ยงก็ยิ่งสูง ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ตาบอด
เพราะเส้นเลือดบนใบหน้ามีการเชื่อมต่อกับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตาและสมอง หากสารฟิลเลอร์หลุดเข้าไปในกระแสเลือดก็จะเกิดการอุดตันของเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงดวงตา ทำให้ขั้วประสาทตาขาดเลือด สูญเสียการมองเห็นถึงขั้นตาบอด
หลายรายเกิดภาวะบอดคาเข็ม แม้ข้อมูลทางห้องปฏิบัติการจะระบุว่า จอประสาทตาจะขาดเลือดได้ไม่เกิน 90 นาที ไม่เช่นนั้นจะตาบอดถาวร แต่ในความเป็นจริงหลายรายพบว่า 2 – 3 ชั่วโมง ก็ทำให้ตาบอดได้เช่นกัน
ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุญาตให้ใช้ฟิลเลอร์ในการเสริมความงาม คือ ไฮยาลูโรนิค แอซิด ซึ่งส่วนใหญ่จะนำมาใช้เติมเต็มแผลที่เป็นหลุมจากสิว หรือแผลจากอีสุกอีใส รวมถึงลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าเต่งตึงควบคู่กับการฉีดโบท็อกซ์
ปัญหาคือหากฉีดบริเวณจุดเสี่ยง อย่างใกล้ ๆ ดวงตา หรือรอบ ๆ จมูก มีโอกาสเสี่ยงตาบอดได้ เพราะหากฉีดมากเกินไปหรือฉีดถูกหลอดเลือดย่อมก่อให้เกิดการอุดตัน และส่งผลต่อดวงตา รวมทั้งบริเวณผิวหนังอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ เน่า กลายเป็นแผลเป็น และเสียโฉมในที่สุด รวมไปถึงหากใช้สารฟิลเลอร์ไม่ดีอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ต้องศึกษาให้ดีว่ามีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง และมีโอกาสกระทบกับดวงตามากน้อยแค่ไหน รวมทั้งต้องเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง พิจารณาว่ามีใบประกอบโรคศิลปะหรือไม่ ได้รับการรับรองจากแพทยสภาหรือไม่ ซึ่งสามารถเข้าไปดูรายชื่อแพทย์ได้ในเว็บไซต์ของสมาคมโรคผิวหนังฯ www.dst.or.th