ไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันทำให้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะวัยทำงาน ต้องใช้สายตาจ้องจอคอมพิวเตอร์นานหลายชั่วโมงต่อวัน รวมถึงพฤติกรรมการเสพติดมือถือ ว่างปุ๊บต้องก้มหน้าเล่นมือถือปั๊บ ส่งผลให้มีอาการตาแดงและตาล้าได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ยาหยอดตาหรือน้ำตาเทียมนำเข้าจากญี่ปุ่นจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

“น้ำยาหยอดตา” (Eyedrop)

หรือ “น้ำตาเทียม” เป็นหนึ่งในไอเท็มยอดนิยมที่ชาวไทยที่มีโอกาสไปเยือนแดนซากุระจะต้องซื้อติดไม้ติดมือ โดยจุดเด่นของยาหยอดตาสไตล์ญี่ปุ่น คือ มีมากมายหลายรุ่น นอกจากคุณสมบัติหลักๆ ที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาแล้ว ยังมีการเพิ่มสรรพคุณต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้มีปัญหาแตกต่างกัน อาทิ มีระดับความเย็นให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่อุณหภูมิปกติไปถึงเย็นสุดขั้ว,ผสมวิตามินและกรดอะมิโนมากมาย เช่น วิตามิน บี 6 วิตามิน บี12 วิตามินเค เพื่อบำรุงดวงตา,มี Taurineเพื่อช่วยคลายอาการเหนื่อยล้าของดวงตา, มี Chondroitin เพื่อช่วยป้องกันอาการตาแห้ง

แม้จะมาพร้อมการอ้างถึงสรรพคุณมากมายแต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าในยาหยอดตาบางยี่ห้อหรือบางชนิดมีส่วนผสมของสารกันเสีย ซึ่งเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำร้ายเซลล์ดวงตาได้ นอกจากนี้ยาหยอดตาบางชนิดประกอบด้วยสารที่ก่อเกิดการบีบตัวของเส้นเลือดในดวงตา ซึ่งเมื่อหยอดตาจะทำให้เส้นเลือดคั่งในดวงตามีลักษณะจางลงจึงเสมือนกับเป็นการบังคับระบบที่เป็นไปตามธรรมชาติของดวงตา เมื่อเส้นเลือดฝอยหดตัวลง ระบบการไหลเวียนของเลือดก็จะแย่ลงตามไปด้วยที่สำคัญการใช้ยาหยอดตาบ่อยๆเป็นผลให้มีอาการตาแห้งง่ายขึ้นในระยะยาว

สำหรับยาหยอดตาหรือน้ำตาเทียมจากประเทศญี่ปุ่นที่มีสีสันนั้น ตามปกติน้ำตาเทียมจะไม่มีสารที่ทำให้เกิดสี แต่ที่เห็นมีสีอาจใส่เพื่อให้เกิดความดึงดูดใจน่าซื้อหามาใช้ ซึ่งสีที่ใช้จะไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา ส่วนที่น้ำตาบางตัวหยอดแล้วมีอาการเย็น แสบนั้น เกิดขึ้นได้ เนื่องจากจะมีสารที่ใส่แล้วทำให้เกิดอาการเย็นอยู่แล้ว ที่ประเทศไทยเองก็มีน้ำตาเทียมบางตัวที่หยอดทำให้เย็นแสบ แต่ไม่ได้เป็นอันตราย จะมีอันตรายก็เฉพาะน้ำตาเทียมบางตัวที่ผสมสารสเตียรอยด์ ซึ่งมาจากการสั่งจ่ายยาโดยแพทย์เท่านั้น

เมื่อมีอาการตาแห้ง แสบ หรือเคืองตา สิ่งแรกที่ควรทำ คือ ไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุในการเกิดของอาการ ซึ่งแพทย์จะมีวิธีรักษาที่ต่างกันไปในแต่ละบุคคลไม่ได้แนะนำให้ทุกคนใช้น้ำตาเทียมกันหมด