“จาม”
เป็นอาการที่ร่างกายใช้ขจัดหรือขับสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้เกิดการระคายเคืองออกทางจมูกและปากอย่างแรงและรวดเร็ว อาการจามมักทำให้เกิดความรำคาญและรบกวนการใช้ชีวิตในบางสถานการณ์ จึงทำให้บางคนเลือกที่จะใช้นิ้วบีบปิดจมูกเพื่อกลั้นจาม หารู้ไม่ว่าอาจนำมาซึ่งอันตรายอย่างคาดไม่ถึง
โดยเมื่อไม่นานนี้ เฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ของ นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าประจำห้องไอซียู และหัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจและปอด โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้ออกมาโพสต์เตือนเกี่ยวกับอันตรายของการกลั้นจามโดยยกตัวอย่างกรณีผู้ป่วยหญิงอายุ 82 ปี ที่มาพบแพทย์เพราะโรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง
นายแพทย์มนูญ เปิดเผยว่า
คนไข้มาหาหมอครั้งแรก เมื่อเดือนธันวาคม 2559 ด้วยอาการพูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออกไป 3 วัน กระทั่งได้ทำการตรวจวัดคลื่นแม่เหล็ก เช็คดูภายในสมอง ปรากฏว่าพบลมอยู่ในเนื้อสมองข้างซ้าย (ภาวะลมรั่วเขาสมอง) จึงได้เฝ้าติดตามดูอาการและปัจจุบันอาการหายเป็นปกติแล้ว
ทั้งนี้ ทางคุณหมอก็ได้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุของอาการลมเข้าสมอง กระทั่งไปพบข้อมูลในวารสาร BMJ Case Reports ซึ่งกำลังเป็นข่าวดังขณะนี้ โดยรายงานได้ชี้ให้เห็นถึงอันตรายของการเอามือบีบจมูกและเม้มปากเวลาจาม คุณหมอมนูญจึงได้กลับไปซักถามอาการคนไข้ใหม่ คนไข้จึงเล่าให้ฟังว่า
ช่วงก่อนจะไม่สบาย ขณะกำลังจะสั่งน้ำมูก เกิดอยากจามขึ้นมา จึงใช้มือบีบจมูกไว้ แล้วเอานิ้วอุดรูหูข้างขวา รวมทั้งเม้มปากพร้อมๆ กัน ทำให้หูข้างซ้ายอื้อและมีเสียงดัง ลมจากอาการจามออกทางจมูกปากไม่ได้ ทำให้ผ่านท่อในปากเข้าหูชั้นกลาง แล้วทะลุกะโหลกใต้สมองและโผล่เข้าชั้นสมอง เรียกว่า การกลั้นไอจามอาจทำให้ลมเข้าสมองได้ รวมทั้ง ปอดรั่ว, แก้วหูทะลุ, ผนังช่องคอทะลุ หรือเส้นเลือดในสมองแตกได้
นอกจากนี้เพื่อสุขอนามัยที่ดี เมื่อจามควรใช้กระดาษทิชชู่ปิดปากและจมูกเอาไว้ เมื่อจามเสร็จให้ทิ้งทิชชู่ที่ใช้แล้วลงถังขยะให้เรียบร้อย หากไม่มีทิชชู่แนะนำให้งอของศอกขึ้นมาเพื่อใช้แขนปิดปากเมื่อจามแทนการใช้มือ เพราะเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโรคได้มากกว่า และในระหว่างที่จามหรือไอ ควรหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรืออาจใช้น้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับทำความสะอาดมือ
ดังนั้น จำไว้ให้ขึ้นใจนะคะว่าการจามเสียงดังสนั่น ยังดีซะกว่าพยายามอดกลั้นไว้ไม่ยอมจาม แล้วส่งผลร้ายต่อสุขภาพในภายหลังค่ะ
