เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมคนทุกคนจึงมีความฉลาดที่ไม่เท่าเทียมกัน?
บอกเลยว่าเรื่องนี้ ดีน เบอร์เน็ต นักวิทยาศาสตร์ด้านสมอง ได้เฉลยไว้ว่า เราสามารถดูการทำงานของสมอง ซึ่งเชื่อมโยงกับความฉลาดได้ด้วยผล FMRI หรือ Functional Magnetic Resonance Imaging ซึ่งจะเป็นการวัดแบบเดียวกับการตรวจคลื่นสมองหรือ MRI
ตามนี้ค่ะ…
1.การไหลเวียนของเลือด
การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนนั้นๆ โดยเฉพาะสมองส่วนที่ทำงานหนัก ซึ่งผล FMRI ที่ออกมาจะเห็นชัดว่าสมองส่วนไหนที่ตื่นตัวตลอดเวลา เช่น ต้องใช้ความจำบ่อยๆ สมองส่วนที่เกี่ยวกับความจำก็จะตื่นตัวมากกว่าส่วนอื่น เป็นต้น
2.การทำงานเชื่อมโยงของสมอง
เนื่องจากปกติธรรมชาติของสมองไม่ได้ทำงานเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่จะทำงานแบบเชื่อมโยงกันหลายๆ ส่วน โดยเฉพาะส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงการทำงานของสมอง นั้นคือ ส่วนที่เรียกว่า Prefrontal Cortex และ Parietal Lobe ซึ่งการทำ FMRI จะเห็นว่าสมองส่วนนี้ตื่นตัวมาก หมายความว่า การเชื่อมโยงของสมองส่วนต่างๆ เป็นไปด้วยดี
3.ความหนาของสมอง
ซึ่งส่วนที่เรียกว่า Corpus Callosum ทำหน้าที่เป็นสะพานระหว่างสมองด้านขวากับสมองด้านซ้าย หากมีลักษณะหนามากก็จะทำให้สมองทั้งสองด้านสามารถสื่อสารกันได้ดีขึ้น และหมายความว่า หากส่วนของความจำใน Parietal Lobe มีมาก และส่วน Prefrontal Cortex ก็นำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถแก้ปัญหายากๆ ในชีวิตได้ดีนั่นเอง
แบบนี้แล้วทำอย่างไรให้เราฉลาด?
- เพิ่ม Crystallized Intelligence ด้วยการเรียนรู้เรื่องความจริงรอบๆตัว
- เพิ่ม Fluid Intelligence ด้วยการเรียนวิชาใหม่ๆ ที่ไม่เคยเรียนมาก่อน ซึ่งการฝึกทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน ร่วมกับการฝึกสมองส่วนหน้า อย่างการฝึกการใช้งานเชื่อมโยงระหว่างสายตากับกล้ามเนื้อมือ เช่น การฝึกเล่นเครื่องดนตรีที่ใช้อวัยวะทั้งสองแบบ เป็นต้น
คราวนี้หวังว่าจะรู้คำตอบของความฉลาดที่ไม่เท่ากันแล้วนะ ที่สำคัญอย่าลืมฝึกสมองให้ฉลาดเพิ่มขึ้นล่ะ!! เพราะแม้ว่าความฉลาดของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่การฝึกสมองบ่อยๆ ก็สามารถบำรุงสมองให้แข็งแรง และมีทักษะต่างๆ ในการเอาตัวรอดและการใช้ชีวิตมากขึ้น ลองทำกันดูสิ