อาการฟกช้ำ ถือเป็นผลจากอุบัติเหตุที่แทบจะเคยเกิดกับทุกคน โดยอาการเหล่านี้จะมากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับความแรงที่มากระทบ รวมถึงสภาพความแข็งแรงของร่างกาย ที่สำคัญ หากเกิดอาการฟกช้ำ แล้วไม่ได้รับการดูแลรอยแผลอย่างถูกวิธี อาจทำให้หายช้าหรือมีอาการรุนแรงขึ้นได้
“แผลฟกช้ำ” เป็นอาการบาดเจ็บที่ผิวหนังอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นได้กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเมื่อถูกกระแทก ถูกชน หรือถูกต่อย ทำให้มีเส้นเลือดฝอยจำนวนมากแตก จนมีเลือดสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง ใน 1-2 ชั่วโมงจะค่อย ๆ สลายแล้วมาคั่งรวมกัน ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง มีผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นรอยจ้ำช้ำสีคล้ำ (แต่ไม่เกิดเป็นแผลเลือดออก) โดยทั่วไปอาการเริ่มต้นมักเป็นสีแดง แล้วจึงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินหรือม่วงเข้มภายใน 2-3 ชั่วโมง และอาจเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เขียว หรือสีอื่น ๆ เช่น น้ำตาล น้ำตาลอ่อน หลังผ่านไปจาก 2-3 วัน ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อรอยช้ำเริ่มจางลง รอยช้ำที่เกิดขึ้นทั่วไป เมื่อกดไปที่รอยมักรู้สึกเจ็บในช่วง 2-3 วันแรก แต่อาการจะค่อย ๆ หายไปพร้อมกับสีที่จางลง
เคล็บลับดูแล “แผลฟกช้ำ” อย่างถูกวิธีและรวดเร็ว
1. ภายใน 48 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอาการฟกช้ำ ควรประคบเย็น ด้วยน้ำแข็ง โดยห่อน้ำแข็งด้วยผ้า (ไม่ควรให้ผิวสัมผัสกับน้ำแข็งโดยตรง) วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15-20 นาที เพื่อช่วยให้หลอดเลือดหดตัวและเลือดที่ไหลออกจากเส้นเลือดฝอยที่ฉีกขาดลดน้อยลง ส่งผลให้อาการอักเสบลดลงตามไปด้วย ส่วนรอยช้ำบริเวณศีรษะและใบหน้าให้ประคบด้วยน้ำแข็งเพื่อลดบวม หากรอยช้ำเกิดบริเวณขาหรือเท้า ให้พาดขากับพนักเก้าอี้หรือหมอนอิง โดยให้ตำแหน่งของรอยช้ำอยู่สูงกว่าหัวใจ วิธีนี้จะช่วยลดแรงกดบริเวณแผล และช่วยให้กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ และเส้นเลือดบริเวณที่ช้ำผ่อนคลายมากขึ้น
2. หลังจากมีรอยฟกช้ำได้ 48 ชั่วโมง ควรประคบร้อน วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 10-20 นาที เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดในบริเวณที่ช้ำ และช่วยให้ผิวหนังดูดซึมเลือดได้เร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้เร็ว อาการบวมจะค่อย ๆ ลดลง และหายจากการบาดเจ็บได้เร็วขึ้น โดยปกติภาวะฟกช้ำจะดีขึ้นและหายได้ภายใน 10-14 วัน
3. ใช้ Hirudoid Forte (ฮีรูดอยด์ ฟอร์เต้) เพื่อรักษาอาการอักเสบและบรรเทาอาการฟกช้ำ ห้อเลือด บวมบริเวณผิวหนัง และทำให้รอยแผลเป็นที่แข็ง นุ่มลงได้ โดยตัวยาออร์กาโน-เฮปารินอยด์ “ลุยท์โปลด์” ในขนาดที่มากถึง 40000 หน่วยต่อ 100 กรัมของฮีรูดอยด์ ฟอร์เต้ สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังได้ดี ทำให้สามารถบรรเทาและยับยั้งอาการฟกช้ำ, ห้อเลือด และบวมได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว สำหรับวิธีใช้นั้น ให้บีบยาออกจากหลอดยาวประมาณ 3-5 ซม. ทาบริเวณที่มีอาการวันละ 1-2 ครั้ง ทุกวัน โดยทาพร้อมทั้งถูนวดเบา ๆ จนเนื้อยาหมด จะทำให้ตัวยาถูกดูดซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น
4. ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ โดยเน้นอาหารที่ช่วยลดอาการอักเสบ เช่น แครอท มะเขือเทศ ถั่วเปลือกแข็ง สับปะรด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ รวมถึงอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุเพื่อช่วยป้องกันการเกิดรอยช้ำและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เช่น ไข่ นม ผลไม้วิตามินซีสูง และผักสีเขียวเข้ม ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ (หลีกเลี่ยงการใช้แรงบริเวณที่มีอาการฟกช้ำ) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด
5. หากมีอาการปวด ให้ใช้ยาแก้ปวดพาราเซตามอล แต่หลีกเลี่ยงยาแอสไพริน หรือยาไอบูโพรเฟน
ทั้งนี้ หากมีอาการฟกช้ำมาก ๆ จนมีเลือดที่ออกมาใต้ผิวหนังสะสมอยู่โดยที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมกลับได้หมด ในกรณีนี้จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อการตรวจรักษาและเอาเลือดที่คั่งค้างอยู่ออก