ใครๆ ก็อยากย้อนวัยกลับไปในสมัยเรียน เพราะรู้สึกว่าปัญหาที่เจอไม่เท่าตอนทำงาน แต่เอาเข้าจริง เฮียว่าถ้ามองย้อนไปถึงตอนต้องอ่านหนังสือสอบเป็นบ้าเป็นหลังก็นับว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกเท่าไหร่นะครับ เกริ่นมาเยอะ สิ่งที่เฮียจะชวนคุยในบทความนี้คือ เรื่องของโรคที่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่ามีอยู่กับโรคที่มากับการเคร่งเครียดอ่านหนังสืออย่าง…
Brain Fag Syndrome
หรือโรคอ่านหนังสือเยอะจนสมองล้า เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมอง ค้นพบในทวีปแอฟริกาใต้เป็นครั้งแรก กลุ่มเสี่ยงโดยมากมักเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่ทำงานที่จำเป็นต้องใช้สายตาอ่านหนังสือมากๆ ซึ่งคนในประเทศโลกที่ 3 ถูกพบว่ามีผู้ที่เป็นโรคนี้มากที่สุด เนื่องจากการเรียนหนักจึงทำให้เด็กวัยเรียนในกลุ่มประเทศนี้เกิดความเครียดจนเกิดภาวะ Brain Fag Syndrome ขึ้น
ความมุ่งมั่นที่มากเกินไป เป็นสาเหตุ
ส่วนใหญ่แล้วโรคนี้มีสาเหตุมาจากความมุ่งมั่นบากบั่นที่จะทำอะไรให้สำเร็จ และมีความคาดหวังในระดับสูงมากจนสร้างแรงกดดันให้ตัวเองให้ต้องจดจ่อในสิ่งที่ต้องการมากเกินไป
มีแต่นักเรียน นักศึกษา หรือที่เสี่ยง?
นักเรียน นักศึกษาที่กำลังอยู่ในระหว่างการสอบแข่งขัน หรือต้องคร่ำเคร่งอยู่กับบทเรียนที่ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการทำความเข้าใจ รวมทั้งกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับภาวะกดดัน ก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
อาการของโรค Brain Fag Syndrome
- สมาธิบกพร่อง ขาดความสามารถที่จะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อ่านได้
- จดจำข้อมูลต่างๆได้ไม่ดีเท่าที่ควร
- เป็นเหน็บชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- ปวดศีรษะ
- ปวดบ่าและไหล่
- ขี้หงุดหงิด
- สีหน้าแสดงออกถึงความไม่สบายใจ
- กระสับกระส่าย
- การหายใจมีอาการติดขัด
- วิตกกังวล
- น้ำหนักลดลงโดยไม่รู้สาเหตุ
- นอนไม่หลับ
- เหงื่อออกมากผิดปกติ
- เสียงสั่นเครือ
- เส้นประสาทมีความผิดปกติ
- ตาพร่ามัว
- หูอื้อ
หากคุณมีอาการดังที่กล่าวมาแล้วนี้เกิน 5 ข้อขึ้นไป คุณก็มีสิทธิ์ที่จะป่วยเป็นโรค Brain Fag Syndrome แล้ว สำหรับการรักษานั้นในขั้นต้นคือให้หลบหนีจากความเครียดที่ต้องเจอไปสักระยะหนึ่ง ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียง รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกกดดัน ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกกลัวและมีความเครียดเพิ่มขึ้น แต่หากอาการของโรคค่อนข้างหนักจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง ควรไปพบจิตแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา
ในยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเช่นปัจจุบันนี้ การดูแลเอาใจใส่สุขภาพของกายและใจอยู่เสมอยังคงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนอย่างพอเพียง ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ ล้วนเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะต้องเผชิญกับปัญหาใดๆก็ตามที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต