เนื่องจากมนุษย์ออฟฟิตมักมีเวลาดูแลตัวเองจำกัด ดังนั้น บางคนเมื่อมีอาการปวดๆ เมื่อยๆ ก็จะไปหาซื้อยาแก้อักเสบมาเป็นตัวช่วยแต่…
“ยาแก้อักเสบ”
คือยาปฏิชีวนะหรือไม่ช่วยลดไข้ได้หรือเปล่าต่างกับแก้ปวดอย่างไรใช้เป็นยาฆ่าเชื้อได้ใช่ไหม… ???
ถึงเวลาทำความเข้าใจก่อนที่จะใช้ยาชนิดนี้แบบผิดๆ จนก่อให้เกิดผลเสียกับร่างกายในระยะยาวได้แล้วนะครับ
1.ความเจ็บป่วยพื้นฐานในชีวิตประจำวัน
มีสองประเภทคือความปวดและการอักเสบ เรามักซื้อยาพาราเซตามอลมากินเพื่อระงับความปวดและซื้อยาแก้อักเสบมากินเองเมื่อพบว่ามีอวัยะวะส่วนใดส่วนหนึ่งอักเสบ โดยหลายครั้งเราวินิจฉัยโรคด้วยตัวเองและบางครั้งเราก็ซื้อยาผิดประเภทจนเป็นโทษกันร่างกาย
2.มีกรณีการซื้อยาแก้อักเสบมากินมากมาย
ถูกนำมาโพสต์ในเว็บพันทิปเป็นวิทยาทาน ผู้เล่าเรื่องส่วนมากๆ ไม่ทราบว่าตนแพ้ยาแก้อักเสบแต่เข้าใจเองว่ากินแล้วหายผลลัพธ์คือ ตัวบวมท้องเสียหรืออาเจียนบ้างหนักที่สุดคือการแอดมินเข้าโรงพยาบาลเหบ่านี้เป็นจ้อควรระวังเมื่อคิดจะซื้อยากินเองแม้ว่ามันจะเป็นยาที่เราคุ้นเคยมากชนิดหนึ่งก็ตาม
3.เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
การอักเสบก็เกิดขึ้นได้โดยนับเป็นปฎิกิริยสทางภูมิคุ้มกันซึ่งร่างกายจะสร้าวภาวะการอักเสยเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการซ่อมแซมตัวเอง
4.เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ของร่างกาย
ที่จะทำงานปกป้องตัวเองตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นการทำให้สิ่งแปลกปลอมเจือจางบางครั้งก็เป็นการกำจัดเนื้อเยื่อที่เสียหายหรือตายลงพร้อมๆ กับการซ่อมแซมตัวเองไปด้วยผลที่มาคู่กันคือเราตะรู้สึกเจ็บปวดและอาจเกิดอันตรายมากขึ้นหากไม่ระงับอาการอักเสบหรือติดเชื้อที่เกิดขึ้นซึ่งการอักเสบที่ติดเชื้อโดยมากจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย
5.การอักเสบมีทั้งแบบเฉียบพลัน
เช่น การที่เรามีแผลซึ่งจะทำให้เกิดอาการบวมแดงเจ็บปวดหรืออาจมีไข้ แต่สามารถหายได้เองภายในไม่กี่วันเรื่อยไปถึงการอักเสบแบบเรื้อรังหรือมีการติดเชื้อร่วมด้วยโดยเชื้อก่อโรคเหล่านี้มีความรุนแรงต่ำ แต่จะติดเชื้อนานเช่นไซนัสอักเสบเรื้อรังที่ทำให้อ่อนเพลียปวดหูและความสามารถในการได้กลิ่นลดลงบางกรณีอาจต้องผ่าตัดเป็นต้น
6.ยาแก้อักเสบตัวแรกจองโลกคือเพนนิสิลิน
คิดค้นขึ้นจากความยังเอิญของ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง ที่ทดลองเรื่องแบคทีเรีย สเตปฟิโลคอกคัส (สาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือด) แต่วันหนึ่งเขาลืมปิดฝาจึงทำให้เกิดราเพนนิซิลเลียมขึ้นและพบว่าราชนิดนี้สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ จากนั้นจึงมียาแก้อักเสบเกิดขึ้นและยังใช้ได้ผลดีอีกด้วย
7.ในชีวิตประจำวันเราสามารถเกิดการอักเสบง่ายๆ ได้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเอ็นกล้ามเนื้ออักเสบจากการใช้กล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไป หรือเกิดอุบัติเหตุ และเรามักกินยาแก้อักเสบ(NSAIDs)เพื่อรักษา โดยยานี้มักนำมารักษาไข้รวมทั้งอาการปวดหัวปวดฟัน ปวดประจำเดือน และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อด้วย ซึ่งมีทั้งแบบกินและแบบทา
8.NSAID
ย่อมาจากคำว่า Nonsteroidal Anti-inflammatory Drug หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่มีสเตียรอยด์ซึ่งยาที่เราคุ้นเคยกันดีคือแอสไพลินทั้งนี้ใช่ว่าทุกคนจะตอบสนอวกับยาได้ดีและที่แน่ๆ ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารหลอดเลือดหัวใจตีบโรคหัวใจวายและโรคตับควรเลี่ยงยาตัวนี้เด็ดขาด
9.หากต้องการกินยาแก้อักเสบควรปรึกษาแพทย์
หรือเภสัชกรทุกครั้งโดยแจ้งว่าแพ้ยาอะไรหากทราบหรือนำยาชนิดนั้นไปแสดงด้วยจะดีมากทั้งนี้ยาแก้อักเสบมักทำให้ระคายเคืองในกระเพาะและทาวเดินอาหาร ดังนั้น หาดต้องกินยาชนิดนี้ควรกินหลังอาหารทันทีและดื่มนำ้ตามมากๆด้วย
10.หลายครั้งเรามักเข้าใจผิดกับการซื้อยากินเอง
อย่างเช่นเมื่อเจ็บคอ จะเข้าใจว่าคอมีการอักเสบจึงกินยาแก้อักเสบแต่อาการเจ็บคออาจมีสาเหตุจากการติดเชื้อควรรักษาด้วยการฆ่าเขื้อที่จะทำลายเชื้อแบคทีเรียและทำให้อาการเจ็บหายไปหรือบางกรณีที่มีการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแล้วกินยาแก้ปวดก็อาจเป็นการรักษาไม่ตรงจุด ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนซื้อยามากินเองเสมอ
11.ยาแก้อักเสบเป็นยาที่แก้อาการเท่านั้น
หากอาการดีขึ้นแล้วควรหยุดกินยาทันทีเพราะนอกจากตะระคายเคืองระบบทางเดินอาหารแล้วอาจมีผลต่อการไหลเวียนเลือดได้และอาจมีภาวะข้าวเคียงต่อความดันและภาวะไตวายหากได้รับปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
12.มักมีความสับสนระหว่างยาปฏิชีวนะกับยาแก้อักเสบ
ในความเป็นจริงแล้วยาขนิดแรกเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสและไม่ข่วยลดการอักเสบแก้ปวดหรือลดไข้ ส่วนยาชนิดหลังไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียแต่เป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบ ลดไข้ และบรรเทาปวด
13.คนส่วนใหญ่ใช้ยาปฏิชีวนะไม่เหมาะสม
กินมากไปและพร่ำเพรื่อจนเกิดอาการดื้อยาสิ่งที่น่ากังวลคือ ยาอาจไปทำลายแบคทีเรียที่ดีในทางเดินอาหารจึงทำให้เชื้อโรคอื่นๆ เข้ามาทำลายร่างกายและเกิดโรคที่รุนแรงได้ในภายหลัง
14.ห้ามนำยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์มาใช้เป็นยาแก้อักเสบ
แม้จะมีฤทธิ์ช่วยแก้อักเสบได้ เพราะมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายและหากกินในระยะยาวอาจทำให้กระดูกผุแผลหายช้ามีจ้ำเขียวขึ้นตามผิวหนังหน้าและตัวบวมหรือทำให้ต่อมหมวกไตฝ่อได้ สำหรับสาวๆ ที่เป็นสิวที่คิดจะหาทางออกง่ายๆ ด้วยยาประเภทนี้ระวังไว้ให้ดีนะ
15.เพื่ออายุที่ยืนยาวควรเลี่ยงการใช้ยาแก้อักเสบ
แต่ให้หันมากินอาหารที่มีประโยชน์หลีกเลี่ยงสารพิษต่างๆที่ อาจปะปนอยู่ในอาหารหรือน้ำดื่มรวมทั้งอาหารทอดที่ใช้น้ำมันที่มีความร้อนสูงและอาหารปิ้งย่างที่พบว่าสารพิษเกิดขึ้นได้ (จากการไหม้) ซึ่งอาจส่งผลให้ร่างกายอักเสบได้หากเผชิญกับสารพิษสะสมตกค้าง
รู้แบบนี้แล้วเมื่อเกิด “อาการอักเสบ” เฮียขอให้พิจารณาให้ดีก่อนที่จะไปซื้อยาแก้อักเสบมากิน หากมีอาการปวดมากๆ ให้ไปปรึกษาแพทย์ ประกันสังคมเราก็มีเฮียอยากใช้สิทธิ์กันครับ อีกอย่างเมื่อมีอาการป่วยอะไรอย่าวินิจฉัยโรคด้วยตัวเองเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจากเรื่องเล็กอาจกลายเป็นใหญ่ได้ไม่รู้ตัวนะครับ!