เทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพในปี 2566 เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า ความสามารถในการนำนวัตกรรมและโซลูชั่นมาสู่อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพก็เช่นกัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่น่าประทับใจ โดยบริษัทต่างๆ เช่น Apple และ Google ได้สร้างแพลตฟอร์มการติดตามสุขภาพและ telehealth (การให้บริการด้านการดูแลสุขภาพทางไกลผ่านการสื่อสารโทรคมนาคม เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน) กลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ด้วยการคาดการณ์ว่าตลาดสุขภาพดิจิทัลทั่วโลกจะเติบโตที่อัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 18.6% ระหว่างปี 2566-2573 เรามาดูแนวโน้มสามอันดับแรกที่จะกำหนดการเติบโตดังกล่าวและผลกระทบต่อการดูแลสุขภาพในอนาคตอย่างไร
1.การเพิ่มขึ้นของ telehealth หรือ telemedicine
ด้วยการระบาดของ Covid-19 ทำให้ ได้รับความนิยมอย่างมาก และคาดว่าเทรนด์นี้จะดำเนินต่อไป ทั่วโลกคาดว่าจะเติบโต 24% ระหว่างปี 2566 ถึง 2573 สิ่งนี้ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะ ง่ายขึ้นและราคาไม่แพง นอกจากนี้ยังมีการรับรู้ถึงประโยชน์ของ telehealth เพิ่มมากขึ้น เช่น การเข้าถึงการดูแลอย่างทันท่วงที และลดค่าใช้จ่าย ทั้งสำหรับผู้ป่วยและระบบการรักษาพยาบาลโดยรวม จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความต้องการวิธีการที่ปลอดภัยและสะดวกสบายในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้
2.การขยายตัวของตลาดเครื่องแต่งกายเพื่อสุขภาพ
อุปกรณ์สวมใส่สำหรับฟิตเนส ตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ติดตามฟิตเนสอย่างแว่นตาอัจฉริยะและนาฬิกาอัจฉริยะกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้นเรื่อยๆ อุปกรณ์สวมใส่ยอดนิยมบางรุ่น และสมาร์ทวอทช์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถบันทึกจำนวนก้าว รูปแบบการนอนหลับ เครื่องวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด เซ็นเซอร์ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) และตรวจวัดสุขภาพหัวใจได้ตลอดทั้งวัน เทคโนโลยีแบบสวมใส่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในการตรวจสอบสุขภาพและสัญญาณชีพของตนเอง ผู้บริโภคมากกว่า 80% ยินดีที่จะสวมใส่เทคโนโลยีฟิตเนส จากการวิจัยของ Insider Intelligence
นอกจากนี้ยังมีความต้องการอุปกรณ์เพื่อสุขภาพแบบสวมใส่จำนวนมากผู้ที่มีภาวะสุขภาพ การสำรวจแนวโน้มระดับชาติของข้อมูลด้านสุขภาพของสหรัฐอเมริกาที่จัดทำขึ้นในปี 2562-2563 ประมาณว่า 3.6 ล้านคนที่มีและ 34.4 ล้านคนที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดใช้อุปกรณ์สุขภาพแบบสวมใส่ อย่างไรก็ตาม นั่นหมายถึงคนกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นโรค (18%) และมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด (26%) ในขณะที่กลุ่มหลังมากกว่า 80% ระบุว่าพวกเขายินดีใช้อุปกรณ์สวมใส่เพื่อพัฒนาสุขภาพของตนเอง จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ ตลาดอุปกรณ์สวมใส่จึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากรายงานของ Wearable Healthcare Devices Market Outlook ที่เผยแพร่ในเดือนธันวาคม 2565 อุตสาหกรรมอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพทั่วโลกคาดว่าจะเติบโต 3.8 เท่าภายในปี 2575
3.เพิ่มการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการรักษาและเทคโนโลยีป้องกัน
AI ได้ช่วยอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพในการพัฒนายาและการรักษาใหม่ๆ และปรับปรุงความแม่นยำในการวินิจฉัย ตัวอย่างหนึ่งคือ Microsoft Project InnerEye ซึ่งเป็นเครื่องมือรังสีบำบัด AI ที่ช่วยเร่งกระบวนการตรวจหาและรักษามะเร็งได้อย่างมาก อีกตัวอย่างที่ดีคือระบบ Brainomix e-Stroke ที่พัฒนาขึ้นในสหราชอาณาจักร สามารถรับการสนับสนุนการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ในการตีความการสแกนสมองโดยใช้อัลกอริธึม AI ที่ล้ำสมัย ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม
นอกเหนือจากการวินิจฉัยโรคแล้ว AI ยังสามารถปรับปรุงสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการปรับแต่งบริการให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถขอความช่วยเหลือและคำแนะนำจากบริการด้านสุขภาพจิตที่ขับเคลื่อนด้วย AI นอกเวลาทำการบำบัดแบบดั้งเดิมและในรูปแบบต่างๆ (เช่น แชทบอท การทำสมาธิหรือการฝึกหายใจ)
แอปด้านสุขภาพจิตบางแอป เช่น สามารถปรับแต่งเทคนิคการผ่อนคลาย การทำสมาธิ หรือแบบฝึกหัดการบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา (CBT) สำหรับผู้ใช้โดยใช้อัลกอริทึม AI CBT ใช้เพื่อรักษาความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าโดยช่วยให้ผู้คนเรียนรู้วิธีจัดการความคิดและอารมณ์ของตนเองอย่างถูกสุขลักษณะ อัลกอริทึม AI เหล่านี้จะปรับเปลี่ยนคำแนะนำตามข้อมูลที่เก็บรวบรวม เช่น สถานะสุขภาพจิตที่รายงานด้วยตนเองของผู้ใช้ ออกกำลังกายเสร็จหรือไม่ และความถี่ในการใช้แอป
อนาคตของเทคโนโลยีด้านสุขภาพนั้นคงจะโตขึ้นเรื่อยๆ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในภาคการดูแลสุขภาพอย่างขาดไม่ได้ แนวโน้มทั้งสามนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น เมื่อพูดถึงศักยภาพที่เทคโนโลยีมีเพื่อปรับปรุงการรักษาพยาบาลและผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นค่ะ
