จากข่าวที่มีการรายงานว่าพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโนโรล่าสุดในจังหวัดภูเก็ต พบผู้ป่วยแล้วครึ่งพัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็ก เชื้อไวรัสนี้คืออะไร และเราเสี่ยงแค่ไหน มาหาคำตอบกัน
Norovirus Infection หรือหลายคนอาจคุ้นกับชื่อนี้ “ท้องเสียจากโนโรไวรัส” เป็นโรคท้องเสียที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็ว เฉียบพลัน ภายใน 12 ชั่วโมงถึง 1-2 วันหลังการได้รับเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร อาการหลัก คือ คลื่นไส้ อาเจียน, ท้องเสียเป็นน้ำ, และปวดท้องแบบปวดบีบ
ว่าแต่ใครบ้างนะที่เป็นกลุ่มเสี่ยง?
เป็นโรคพบได้บ่อยทั่วโลก พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กอ่อนไปจนถึงผู้สูงอายุ เป็นโรคพบได้ตลอดทั้งปี แต่พบได้สูงสุดในช่วงฤดูหนาวที่ไวรัสนี้จะแพร่กระจายได้ดี โดยอาการท้องเสียจากโนโรไวรัส มักเกิดอาการภายหลังได้รับเชื้อภายใน 12 ชั่วโมงถึง 2 วัน หลังได้รับเชื้อ
โดยอาการหลัก คือท้องเสียเป็นน้ำเฉียบพลัน มากกว่า 3-4 ครั้งขึ้นไปต่อวัน, คลื่นไส้ อาเจียน, ปวดท้องแบบปวดบีบ ส่วนอาการอื่นๆ ได้แก่ มีไข้ต่ำๆ, หนาวสั่น, ปวดกล้ามเนื้อบริเวณ ลำตัว แขน ขา หรือกล้ามเนื้อหลัง, อ่อนเพลีย, ภาวะขาดน้ำ เมื่อ อาเจียน หรือท้องเสียรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดท้องเสียจากโนโรไวรัส
- ผู้ที่อยู่กันอย่างแออัด เช่นสถานพยาบาล สถานเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล ค่ายทหาร
- กินอาหารสุกๆดิบๆ กินหอยโดยเฉพาะสุกๆดิบๆ ผู้สัมผัสกับของใช้สาธารณ เช่น ราวบันไดเลื่อน ของเล่นเด็กในสถานที่ต่างๆ เป็นต้น
- กินอาหาร ดื่มน้ำ ที่ขาดสุขอนามัย เช่น อาหารข้างทางที่ไม่สะอาด
- ไม่ชอบล้างมือ โดยเฉพาะก่อนกินอาหาร หรือหลังเข้าห้องน้ำ
เมื่อเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อโนโรไวรัสควรหยุดงานหรือหยุดเรียน เพื่อพักผ่อนให้เต็มที่จนกว่าจะหยุดท้องเสีย, ดื่มน้ำสะอาด,ดื่มน้ำเกลือแร่,กินอาหารอ่อน,ล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำหากมีอาเจียนควร อาเจียนลงในโถส้วม เพราะจะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโรค รวมถึงกดน้ำหลายๆครั้งในการทำความสะอาดส้วงหลังการขับถ่าย หรือการอาเจียน
หากอาการเลวลง หรืออาการไม่ดีขึ้นใน 2-3 วันหลังการดูแลตนเอง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะมีโอกาสเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต