“ลมพิษ”
เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกันดีและมีจำนวนไม่น้อยที่เคยมีอาการดังกล่าว เพราะเป็นโรคที่เป็นกันได้ทุกเพศและทุกวัย ลมพิษคืออะไร มีสาเหตุอย่างไร อาการเป็นเช่นไร และมีวิธีรักษาอย่างไร คำตอบอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว
โรคลมพิษ (Urticaria) เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งทีมีลักษณะเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดง ไม่มีขุย มีอาการคัน มีขนาดต่างๆ ตั้งแต่ 0.5-10 ซ.ม. เกิดขึ้นเร็วและกระจายตามตัว แขน ขา แต่ละผื่นมักจะคงอยู่ไม่นาน
โดยส่วนมากมักไม่เกิน 24 ชั่วโมง ผื่นนั้นก็จะราบไปโดยไม่มีร่องรอย แต่ก็อาจมีผื่นใหม่ขึ้นที่อื่นๆ ได้ ลมพิษ เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยร้อยละ 10-15 ของประชากร จะเคยเป็นผื่นลมพิษอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต
ลมพิษเกิดจากการที่ร่างกายได้รับสิ่งกระตุ้น จึงเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย โดยบางครั้งอาการลมพิษอาจเกิดขึ้นกับผิวหนังภายนอก แต่ในรายที่มีอาการรุนแรงก็อาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายในได้ ส่วนใหญ่แล้วอาการจะอยู่ไม่นาน รับประทานยาแก้แพ้ก็หาย
ผื่นลมพิษที่เป็นอยู่ไม่กี่วันแล้วหาย หรือมีอาการเป็นๆ หายๆ ไม่เกิน 6 สัปดาห์ เรียกว่า “ลมพิษเฉียบพลัน” ส่วนใหญ่มักหาสาเหตุไม่พบ อาจเกิดจากการแพ้ยา อาหาร แมลง หรือติดเชื้อต่างๆ แต่ถ้าเป็นผื่นลมพิษติดต่อกันแทบทุกวันเป็นระยะเวลานานกว่า 6 สัปดาห์ขึ้นไป จะเรียกว่า “ลมพิษเรื้อรัง” ซึ่งจำเป็นต้องหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร จากโรคร้ายที่ซ่อนอยู่หรือไม่ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง, โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ
อาการลมพิษที่รุนแรง เรียกว่า “ลมพิษยักษ์” โดยจะมีอาการบวมที่เนื้อเยื่อในผิวหนัง กดแล้วไม่บุ๋ม และจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง บางรายมีอาการกล่องเสียงบวม ทำให้หายใจลำบากจนเกิดอาการตัวเขียว เป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ สาเหตุของลมพิษยักษ์เกิดจากการแพ้อาหารหรือแพ้ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือยาลดความดันโลหิตบางกลุ่ม
การรักษาโรคลมพิษ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทราบสาเหตุของอาการ หมั่นสังเกตตัวเองว่าอะไรคือสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาในกลุ่มแอนติฮีสตามีน ซึ่งมีอยู่หลายชนิดเพื่อบรรเทาอาการแพ้ลง และเพราะการเกิดลมพิษมักมีอาการคันแพทย์จึงมีให้ยาทาแก้คันทาบริเวณที่มีลมพิษควบคู่ด้วย