เมื่อ “น้ำเข้าหู” ทำให้เกิดอาการหูอื้อ รู้สึกเหมือนมีเสียงน้ำอยู่ในหู การได้ยินลดลง จึงต้องหาสารพัดวิธีเพื่อเอาน้ำออกหู เช่น ตะแคงศีรษะแล้วตบที่หู เอาน้ำหยอดไปอีกครั้งเพื่อให้น้ำเต็มหูและออกมาเอง หรือใช้ไม้แคะหูปั่นหูเพื่อเอาน้ำออก หากได้ผลก็ถือเป็นเรื่องราวดี ๆ แต่ถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาอาจนำไปสู่“ภาวะที่หูชั้นนอกอักเสบ” ได้
“ภาวะหูชั้นนอกอักเสบ”
หรือ Otitis externa หรือ Swimmer’s ear เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบตามมาได้โดยอาการของหูชั้นนอกอักเสบติดเชื้อคือ ปวดหู หูอื้อ มีน้ำหรือน้ำเหลืองไหลจากหู แพทย์ตรวจจะพบมีช่องหูบวมแดง มองเห็นแก้วหูไม่ชัด กดเจ็บบริเวณหน้าใบหู โยกใบหูแล้วเจ็บมากขึ้น
เพื่อความปลอดภัยหากมีน้ำเข้าหูไม่ควรใช้ไม้แคะหูปั่นหูเพื่อเอาน้ำออก เพราะอาจทำให้เกิดแผลถลอกและเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งนำไปสู่ “ภาวะหูชั้นนอกอักเสบ” ซึ่งส่วนใหญ่โรคนี้ผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์เร็วจึงพบผลข้างเคียงแทรกซ้อนน้อยมาก แต่บางรายมีอาการปวดมาก หรือมีช่องหูบวมแดงตีบทำให้การได้ยินลดลง และในผู้ป่วยกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่องหรือมีโรคประจำตัวเช่นโรคเบาหวาน เมื่อมีการอักเสบมักรุนแรงมาก ถ้ารักษาไม่ทันอาจมีผลต่อเส้นประสาทเลี้ยงบริเวณใบหน้าทำให้มีหน้าเบี้ยว หรือถ้าเป็นมากขึ้นอาจติดเชื้อแบคทีเรียขึ้นสมอง และอาจเสียชีวิตได้
การดูแลตัวเองเมื่อ “ภาวะหูชั้นนอกอักเสบ”
- หลังจากไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาแล้ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดโดยรับประทานยาและหยอดยาตามคำแนะนำของแพทย์
- ระวังไม่ให้น้ำเข้าหู สามารถป้องกันน้ำเข้าหูได้โดยขณะอาบน้ำให้ใช้หมวกคลุมผมคลุมลงมาปิดบริเวณใบหู นอกจากนี้ภายหลังอาบน้ำ ควรใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดรอบๆหูและใบหูให้แห้ง
- ไม่ปั่นหรือแคะหู ถ้ามีอาการคันหูทั้งในช่วงมีอาการช่องหูอักเสบหรือในภาวะปกติ ให้ดึงขยับใบหู เบาๆจะช่วยบรรเทาอาการคันหูได้ดี โดยไม่ต้องใช้ไม้แคะหูหรือปั่นหู
- หากมีอาการผิดปกติไปจากเดิมหรืออาการต่างๆ แย่ลง เช่น ปวดหูมากขึ้น หูบวมแดงมากขึ้น ปวดศีรษะมาก มีไข้ ควรรีบไปพบแพทย์
เมื่อ “ภาวะหูชั้นนอกอักเสบ” หายเป็นปกติแล้วผู้ป่วยสามารถกลับไปว่ายน้ำได้ตามปกติ แต่ต้องระวังน้ำเข้าหูและห้ามปั่นหูเพราะมีโอกาสที่หูชั้นนอกจะอักเสบได้อีก