“โรคเอสแอลอี”
เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยมีปัจจัยแวดล้อมบางอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้ความผิดปกติปรากฏชัดขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติของผู้ป่วยจะทำร้ายเนื้อเยื่อตัวเอง เป็นผลให้อวัยวะนั้นเกิดการอักเสบ และหนึ่งในปัจจัยซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการของโรค ก็คือ แสงแดด
ข้อมูลจาก นพ.กันย์ พงษ์สามารถ กุมารแพทย์โรคข้อและรูมาติสซัม สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) ระบุว่า…
ผู้ป่วยเอสแอลอี มีปัจจัยเสี่ยง คือ การถูกแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งในคนที่ไม่มีโรคนั้นนอกจากจะทำให้ผิวไหม้เกรียม หรือเกิดริ้วรอยก่อนวัยแล้ว ยังอาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย ส่วนในผู้ป่วยโรคเอสแอลอี กลไกการกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายทำงานได้เชื่องช้ากว่าคนทั่วไป ทำให้โปรตีนในนิวเคลียสที่ตกค้างอยู่กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันแอคทีฟได้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยเอสแอลอีมักได้รับยาสเตียรอยด์ ซึ่งทำให้ผิวหนังเปราะบางมากขึ้นด้วย จึงทำให้ผู้ป่วยเอสแอลอีมีความไวต่อแสงมากกว่าคนทั่วไป หากโดนแสงแดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรังสีอัลตราไวโอเลต จะไม่เพียงแต่ทำให้เกิดผื่นแพ้แสง แต่อาจทำให้โรคกำเริบรุนแรงได้อีกด้วย ฉะนั้น การทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยต่อผิวที่เปราะบาง จะช่วยป้องกันได้มาก
ในหน้าร้อนของทุกๆ ปี จะต้องมีผู้ป่วยเอสแอลอีเกิดโรคกำเริบขึ้น ยิ่งประเทศไทยเราอยู่ในโซนสีม่วงที่ค่าดัชนีความเข้มของรังสียูวีสูงกว่า 11 ตลอดทั้งปี จึงมีความจำเป็นที่ผู้ป่วยเหล่านี้จะต้องใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ครีมกันแดดที่อาจถูกมองว่าเป็นเวชสำอางค์สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับคนไข้เอสแอลอี คือการป้องกันโรคกำเริบ
นอกจากนี้การที่แดดในเมืองไทยแรงมาก ทำให้คนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคเอสแอลอีอยู่แล้วถูกกระตุ้นให้เป็นเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กๆ เมื่อโรคกำเริบ อาจจะต้องได้ยาขนานสูง บางคนได้สเตียรอยด์ หรือแรงกว่านั้น ทำให้มีผลกระทบหลายอย่าง เช่น ประจำเดือนไม่มา กระดูกพรุน หรือมีปัญหาเรื่องความสูงและความสมบูรณ์ของร่างกาย ดังนั้นครีมกันแดดจึงสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยโรคเอสแอลอี
แสงแดดเป็นอันตรายอย่างมาก แม้แต่กับคนทั่วไปแสงแดดก็ยังมีปัญหา ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเอสแอลอีผู้มีผิวอ่อนบาง ห้ามละเลยการทาครีมกันแดดอย่างเด็ดขาดนะคะ