สร้างความตื่นตัวกันพอสมควรเลยทีเดียวสำหรับรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ 2012 ขององค์การอนามัยโลก (WHO: World Health Organization) ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2558 ซึ่งรวมแล้วมีผู้ป่วย 1,112 ราย เสียชีวิต 422 ราย แม้ว่าประเทศไทย “ยังไม่พบ” การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวแต่เราก็ไม่ควรมองข้าม ว่าแล้วก็มาทำความรู้จักโรคนี้กันดีกว่า
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2012(MERS-CoVย่อมาจาก Middle East Respiratory Syndrome Coronavirus) เป็นโรคติดเชื้อชนิดรุนแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรน่าซึ่งเป็นไวรัสกลุ่มเดียวกับที่ก่อโรคซาร์ส แต่คนละสายพันธุ์ เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรง โดยพบการติดเชื้อนี้เป็นครั้งแรกที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อปี ค.ศ. 2012
ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าเชื้อไวรัสนี้จะแพร่กระจายหรือติดต่อกันได้อย่างไร แต่ก็พบว่ามีการติดต่อระหว่างคนได้ โดยมักจะพบได้ในวงจำกัด คือ ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และญาติที่ดูแลผู้ป่วย
อาการสำคัญของผู้ป่วยโดยทั่วไปจะมีอาการทางระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน ไข้ ไอ อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ แต่ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการหอบ หายใจลำบาก ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ โดยพบว่ามากกว่าร้อยละ 30 ของผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้จะมีอาการรุนแรงจนกระทั่งเสียชีวิต
ในส่วนของการรักษาปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้ในการรักษาการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้โดยเฉพาะ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีไข้สูง ร่วมกับปอดบวมรุนแรง และไม่ทราบว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดใด อาจจะแนะนำให้ใช้ยาต้านไวรัส Oseltamivir ในขนาดที่ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ได้5 แต่โดยทั่วไปจะแนะนำให้ใช้ยาที่ช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น1
คำแนะนำในการปฏิบัติตัว
1. ปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี ได้แก่ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ โดยควรล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที หรืออาจใช้แอลกอฮอล์เจลแทนได้ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
2. หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ที่มีอาการไอ จาม
3. ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่แออัด หากจำเป็นต้องเข้าไปในที่แออัด ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
4. แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัย ในกรณีที่มีอาการไอ จาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค