“ไขมันพอกตับ” (Fatty LiverDisease)
คือโรคที่มีไขมันเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับเกินปกติ คือ ประมาณร้อยละ 5-10 ของตับโดยน้ำหนัก โดยทั่วไปมักเป็นไขมันชนิด ไตรกลีเซรายด์ไขมันในเลือด)
ที่น่ากลัวก็คือ “ไขมันพอกตับ”พบได้ถึงประมาณร้อยละ 75 ในคนเป็นโรคอ้วน รวมถึงผู้ที่มีรูปร่างอ้วน ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้มีไขมันในเลือดสูงผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำและมักเป็นโรคที่เป็นสาเหตุให้มีการทำงานผิดปกติของตับ
“ไขมันพอกตับ” เกิดจากการสังเคราะห์ไขมันในตับผิดปกติ ทำให้ไขมันโดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักเกินร้อยละ 5 ของตับ ส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ เกิดภาวะตับอักเสบและอาจพัฒนาเป็นตับแข็งได้ในที่สุดโรคนี้มักไม่ทำให้เกิดการเจ็บปวด แต่บางครั้งจะบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพด้านอื่นๆ
ปัจจัยเสี่ยงของ “ไขมันพอกตับ” ได้แก่…
โรคอ้วน
น้ำหนักตัวมากเกิน
- โรคเบาหวาน
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคไขมันในเลือดสูง
- ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาก
- รับประทานอาหารที่มีรสหวานมากเกินไป
- รับประทานอาหารให้พลังงานสูงเป็นประจำ รวมทั้งไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต
- ภาวะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือภาวะทุพโภชนาการ (เช่น มีโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง)
- การลดน้ำหนักอย่างหักโหม
- เป็นผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
- การติดเชื้อต่างๆ (เช่น เชื้อเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบซี)
ความรุนแรงของโรคไขมันพอกตับแบ่งเป็น 4 ระยะ
ระยะแรก : เป็นระยะมีไขมันก่อตัวอยู่ในเนื้อตับ ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดผลใดๆ
ระยะที่สอง : เริ่มมีอาการอักเสบของตับ ในระยะนี้หากปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ เกินกว่า 6 เดือนอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
ระยะที่สาม : การอักเสบรุนแรง ก่อให้เกิดพังผืดในตับ เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลายลง
ระยะที่สี่ : เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ตับทำงานไม่ได้ตามปกติอีกต่อไป ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับ
ในระยะแรกๆของโรค มักไม่แสดงอาการให้รู้สึก มีบ้างที่อาจมีอาการ อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา (ซึ่งก็เป็นอาการของหลายๆ โรค) โดยส่วนใหญ่การตรวจพบโรคไขมันพอกตับจึงมักพบเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการเจาะเลือดตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจทางการแพทย์ด้วยเหตุผลอื่นๆ ฉะนั้นควรป้องกันตัวเองโดยลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค