ช่วงฤดูฝนและฤดูทำนาทีไรก็จะมีการเตือนภัยให้ระวังโรคภัยไข้เจ็บทุกที หนึ่งในโรคสำคัญที่มักระบาดในช่วงฤดูดังกล่าวก็คือ “โรคฉี่หนู”
ทั้งนี้หนุ่มสาวชาวเมืองหลายคนมักเมินเฉยต่อโรคฉี่หนู เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่ความจริงแล้วไม่เฉพาะเกษตรกรเท่านั้น ประชาชนในเขตเมืองก็มีความเสี่ยงกับโรคฉี่หนู!
เนื่องจากพาหะนำโรคเป็นทั้งหนูบ้าน หนูนา หนูป่า หนูท่อ ที่หนีน้ำเข้ามาอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน อาคารต่างๆ ซึ่งเชื้อโรคจะอยู่ในฉี่ของหนูที่ติดเชื้อได้เป็นเวลานานหลายเดือน และแพร่เชื้อโรคมาสู่คนได้ทางปาก จากการกินอาหารหรือดื่มน้ำ ที่ปนเปื้อนเชื้อฉี่หนูและไชเข้าทางแผลเยื่อบุในปากหรือตาหรือรอยถลอกผิวหนัง และการสัมผัสจากการแช่น้ำที่มีเชื้อโรคฉี่หนูปนเปื้อนเป็นเวลานาน โดยไม่รู้สึกคันหรือเจ็บปวดแต่อย่างใด และไม่มีรอยแผลปรากฏให้เห็นส่วนการป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจาก “โรคฉี่หนู” นั้นทำได้โดย…
- ดูแลความสะอาดบ้านเรือน อาคารสำนักงาน ไม่ให้เป็นแหล่งอาศัยของหนู กำจัดเศษอาหารให้ถูกวิธี เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งดำรงชีวิตของหนู ถังที่ใช้ใส่ขยะเปียกจะต้องมีฝาปิดมิดชิดป้องกันไม่ให้หนูเข้าไปกินได้ หากพบว่ามีหนู ควรใช้อุปกรณ์ดักหนูและกำจัดทิ้ง การใช้วิธีไล่หนูหนีจากบ้านเรือน สำนักงาน ไม่ใช่วิธีที่ได้ผล และจะทำให้หนูแพร่พันธุ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยหนู 1 คู่ สามารถออกลูกหลานได้ปีละกว่า 1,000 ตัว
- หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนด้วยเท้าเปล่าเพื่อลดการสัมผัสเชื้อ หากมีความจำเป็นให้ใส่รองเท้าบูทยางหรือที่มีพื้นหนา เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลจากของมีคม ส่วนผู้ที่มีบาดแผลหรือมีแค่รอยขีดข่วนตามผิวหนัง ต้องระมัดระวังอย่าให้แผลถูกน้ำ หลังจากขึ้นจากน้ำให้อาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด
- ผู้นิยมดื่มเครื่องดื่มกระป๋องที่เปิดฝาแล้วเทน้ำใส่ปากโดยตรง จะมีความเสี่ยงได้รับเชื้อโรคฉี่หนู เนื่องจากลักษณะของการเก็บเครื่องดื่มโดยทั่วไป จะวางกระป๋องในแนวตั้ง ฝาเปิดจะอยู่ด้านบนอยู่แล้วหากเก็บไม่มิดชิด อาจมีหนูไปฉี่รดบนฝากระป๋องไว้ ฉะนั้นควรล้างฝากระป๋องให้สะอาดก่อนเปิดทุกครั้ง
ทั้งนี้ โรคฉี่หนูจะมีลักษณะเฉพาะต่างจากโรคอื่นๆ โดยหลังติดเชื้อประมาณ 10 วัน จะมีอาการป่วย ได้แก่ มีไข้สูงทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดตา ปวดตามกล้ามเนื้อมากโดยเฉพาะที่น่อง โคนขาทั้ง 2 ข้าง
หากมีอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์หลังมีอาการป่วยไม่เกิน 3 วัน อย่าซื้อยากินเอง และแจ้งประวัติการลุยน้ำ ย่ำโคลนหรือการพบเห็นหนูในบ้านหรือสำนักงานให้แพทย์ทราบเพื่อให้การรักษาได้อย่างถูกจุด