ผิวหนังเป็นส่วนประกอบของร่างกายที่ใหญ่ที่สุด เสมือนเกราะป้องกันของร่างกาย อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยต่างๆ อาจทำให้เชื้อโรคผ่านเข้าสู่ผิวหนังและก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ นำไปสู่ปัญหาผิวหรือโรคผิวหนังต่างๆ ซึ่งในรายที่ผิวมีลักษณะเป็นผื่นคัน อักเสบง่าย มีอาการเรื้อรัง หายช้า มักถูกเรียกว่าเป็น โรคน้ำเหลืองเสีย
โรคน้ำเหลืองเสีย เป็นเพียงภาษาชาวบ้านที่ใช้เรียก แท้จริงแล้วอาการลักษณะนี้ในทางการแพทย์เรียกว่า Impetigo หรือแผลพุพอง โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง โดยเชื้อแบคทีเรียจะเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผลที่เกิดจากรอยถลอกหรือการแกะเกา บริเวณที่เป็นจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง คัน ผื่นแฉะ อาจบวมแดงและมีน้ำเหลืองไหล ร่วมกับมีสะเก็ดสีเหลืองปนน้ำตาลได้ ตำแหน่งที่พบบ่อย คือ บริเวณใบหน้า รอบจมูก รอบปาก แขนและขา หากได้รับการดูแลรักษาที่ไม่ดี อาจทำให้เกิดการลุกลาม และทำให้หายช้าได้
ในการรักษาโรคขึ้นอยู่กับลักษณะอาการและความรุนแรง ผู้ป่วยแต่ละคนจึงอาจมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ฉะนั้น ผู้ที่มีอาการของโรคควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม ในส่วนของวิธีการรักษาโรคน้ำเหลืองเสียหรือแผลพุพอง (Impetigo) มีดังนี้
1. การให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคกรณีที่อาการไม่รุนแรงอาจใช้ยาปฏิชีวนะในรูปแบบรับประทาน แต่หากมีอาการรุนแรงหรือมีอาการตามระบบร่วมด้วย อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในรูปแบบยาฉีด ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องมาพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
2. ทำความสะอาดผิวหนังและบริเวณแผลด้วยการอาบน้ำฟอกสบู่ และการฟอกด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
3. หลีกเลี่ยงการแกะเกา เพราะจะทำให้ผิวหนังเป็นแผลและเชื้อโรค ลุกลามมากยิ่งขึ้น
4. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องร่วมด้วย ควรมาพบแพทย์โดยเร็วเพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะติดเชื้อที่ ผิวหนังและเพื่อการรักษาที่เหมาะสม
5. การรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การระบายหนอง การประคบแผลด้วย น้ำเกลือ
เคล็ดลับการดูแลผิวเพื่อป้องกันโรคน้ำเหลืองเสียหรือแผลพุพอง (Impetigo)
1. รักษาความสะอาดของร่างกายและข้าวของเครื่องใช้ โดยการอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเป็นประจำทุกวันเพื่อกำจัดเชื้อโรคที่เกาะอยู่ตามผิวหนัง ลดโอกาสติดเชื้อ และควรล้างมือให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ หากผิวหนังสัมผัสสิ่งสกปรกควรรีบล้างทำความสะอาดผิวหนังบริเวณนั้น รวมถึงหากมีแผลเกิดขึ้นควรได้รับการล้างแผลและทำแผลอย่างถูกวิธี
2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดบาดแผลบริเวณผิวหนัง เช่น การแกะเกา การเดินเท้าเปล่าโดยไม่สวมใส่รองเท้า
3. ไม่แกะเกาบริเวณรอยโรคหรือตำแหน่งที่เป็นผื่น เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อที่ผิวหนังและการลุกลามของรอยโรคด้วย
4. รักษาโรคผิวหนังอื่น ๆ ที่อาจเป็นช่องทางให้เกิดบาดแผลที่ผิวหนังทำให้เชื้อแบคทีเรียสามารถผ่านเข้าไปก่อโรคได้ เช่นโรคเชื้อรา ที่ผิวหนังหรือง่ามนิ้วเท้า เป็นต้น
5. รักษาสุขลักษณะทั่วไป ตัดเล็บสั้น เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคต่างๆ บริเวณเล็บ
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรค Impetigo ดังนั้น การดูแลผิวอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ห่างไกลจากโรคน้ำเหลืองเสียหรือแผลพุพอง (Impetigo)