โรคความดันโลหิตสูง เป็นภาวะที่ตรวจพบว่ามีความดันโลหิตอยู่ในระดับสูงผิดปกติ คือมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งอาจไม่แสดงอาการ แต่เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม อาจอันตรายถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้
โรคความดันโลหิตสูงสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. ความดันโลหิตสูงแบบปฐมภูมิ (essential/primary hypertension) คือ ภาวะความดันโลหิตสูงที่สามารถพบได้บ่อยที่สุด และยังไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน ส่วนใหญ่มักจะเกิดในผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป มักจะเกิดจากพันธุกรรม และสภาพแวดล้อม เช่น คนในครอบครัวมีประวัติของโรคความดันโลหิตสูง การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม หรือการที่มีน้ำหนักตัวเกิน รวมถึงโรคร่วมอื่นๆ ที่มีผลทางอ้อมที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน ไรคไตเสื่อม โรคนอนกรน ซึ่งความดันโลหิตสูงแบบปฐมภูมิ สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ดังนั้น การรักษาต้นเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นอาจช่วยลดความดันโลหิตลงได้บ้าง แต่ยังจำเป็นต้องใช้ยารักษาความดันโลหิตสูงอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอดไป
2. ความดันโลหิตสูงแบบทุติภูมิ (secondary hypertension) คือ ภาวะความดันโลหิตสูงที่มีสาหาตุมาจากโรค ภาวะ สารหรือยาบางอย่างที่มีสาเหตุชัดเจน เช่น เกิดภาวะความดันโลหิตสูงจากโรคที่เกี่ยวกับระบบไต ระบบหลอดเลือด หรือระบบต่อมไร้ท่อ รวมไปถึงการใช้ยาหรือสารบางอย่าง ที่ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งการรักษาจากสาเหตุตั้งต้นนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถทำให้ความดันกลับมาเป็นปกติได้
อาการของโรคความดันโลหิตสูง มักจะไม่มีอาการผิดปกติ จะตรวจพบได้ก็ต่อเมื่อมีการตรวจวัดความดันโลหิตเท่านั้น แต่ในกรณีที่มีความดันโลหิตสูงมากๆ อาจมีอาการปวดศีรษะ ตึงบริเวณต้นคอ มึนเวียน ตาพร่ามัวได้ และในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤติ (Hypertensive emergency) คือ ผู้ที่ค่าความดันโลหิตที่มากกว่า 180/100 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปร่วมกับมีอาการของระบบใดระบบหนึ่งที่ผิดปกติร่วมด้วย เช่น มีอาการเหนื่อยจากภาวะหัวใจล้มเหลว มีอาการเจ็บหน้าอกจากภาวะหัวใจขาดเลือด มีอาการซึม พูดจาสับสน ปวดศีรษะมาก อาเจียนจากภาวะทางสมอง แขน/ขาอ่อนแรงจากภาวะเส้นเลือดสมองตีบหรือแตก หรือภาวะไตวายเฉียบพลัน
ถ้าหากมีอาการดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับการรักษาในทันทีโดยการให้ยาทางหลอดเลือดเพื่อลดความดันโลหิตลงให้ปกติให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยภายในระยะเวลาเป็นนาทีหรือชั่วโมง นอกจากนี้ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/100 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่มีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อรับการรักษา โดยการรับประทานยาเพื่อลดความดันโลหิตให้กลับมาเป็นปกติภายในระยะเวลา 2-3 วัน
ทั้งนี้ ถ้าหากปล่อยให้มีความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลานานโดยไม่ทำการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อระบบบต่างๆ ของร่างกายได้ดังนี้ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัว ผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้น เกิดเส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเหลือดใหญ่โป่งพอง เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณขาหรือแขนอุดตัน และหัวใจล้มเหลว ระบบสมอง ทำให้เกิดเส้นเลือดสมอง/เส้นเลือดที่คอตีบ เส้นเลือดสมองโป่งพองหรือแตก เกิดอาการแขนขาอ่อนแรง เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ระบบตา ทำให้เกิดผลกระทบกับเส้นเลือดที่บริเวณจอประสาทตาเกิดเลือดออก เส้นเลือดหนาตัวมากขึ้น จนจอประสาทตาบวม ทำให้มีผลกระทบต่อการมองเห็น แต่ส่วนใหญ่แล้วภาวะดังกล่าวจะดีขึ้นหากลดความดันโลหิตลงได้
ดังนั้น หากพบว่าตนเองมีความดันโลหิตสูง ควรหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ไปพบแพทย์เพื่อรับยารักษาความดัน และโรคอื่นร่วมด้วย รวมถึงปรับพฤติกรรมที่เสี่ยงเกิดโรค เช่น ลดการบริโภคอาหารรส ลดน้ำหนัก ลดความเครียด