
โควิด-19 ส่งผลต่อผู้คนในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และหายจากโรคได้เองโดยไม่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล แต่ผู้ที่ติดเชื้อบางรายอาจได้รับผลกระทบทางร่างกายจากการติดเชื้อเป็นเวลานาน โดยหนึ่งในอาการที่ว่านี้ คือ ภาวะผมร่วง
ภาวะผมร่วงภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่เป็นอาการของโรคผมผลัด โดยผู้ป่วยจะมีอาการผมร่วงทั่วศีรษะมากผิดปกติ มากกว่า 100 เส้น/วันแต่ไม่มากเกิน 50% ของผมทั้งศีรษะในระยะเวลา 2 – 3 เดือน แต่ในบางรายอาจจะเกิดได้เร็วประมาณหนึ่งเดือนครึ่งภายหลังการติดเชื้อโควิด 19 ซึ่งค่อนข้างเร็วกว่าภาวะผมผลัดจากสาเหตุอื่น
แม้ไม่มีหลักฐานว่าผมร่วงเป็นอาการข้างเคียงของผู้ป่วย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า โควิด-19 เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดความเครียดมากมายในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างรุนแรง ร่างกายจะเกิดสภาวะ lock down โดยจะทำงานเฉพาะฟังก์ชันที่สำคัญ ๆ ก่อน อะไรที่ยังไม่สำคัญ ณ ขณะนั้นจะหยุดทำงาน ส่งผลให้เส้นผมเข้าสู่ภาวะที่ 3 คือพักตัวและหลุดร่วงตามลำดับ ผลคือ รากผมตายและเริ่มร่วง กระบวนการนี้เรียกว่า Telogen Effluvium (ผมร่วงแบบฉับพลัน)
จากข้อมูลพบว่าผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อโควิด-19 เกิดโรคผมผลัดหลังจากการติดเชื้อประมาณ 25% โรคผมผลัดอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น เช่น เกิดภายหลังจากมีภาวะป่วยหนัก มีภาวะเครียดมาก การขาดสารอาหาร เป็นโรคไทรอยด์และการรับประทานยาบางอย่าง ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยมีประวัติสาเหตุอื่นร่วมด้วย อาจมีความจำเป็นที่จะต้องแยกสาเหตุอื่นร่วมด้วยโดยการตรวจผมและการตรวจเลือด
ปัจจัยกระตุ้นอื่นนอกเหนือจากภาวะเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 ควรจะรักษาร่วมด้วย คือ
1. ถ้าผู้ป่วยเกิดภาวะผมร่วงภายหลังจากมีการติดเชื้อโควิด-19 โดยไม่มีปัจจัยอื่น โดยทั่วไป ผู้ป่วยที่มีโรคผมผลัดมักหายได้เองหลังจากสาเหตุหมดไปแล้วประมาณ 2 – 6 เดือน ในกรณีผู้ป่วยที่เป็นโรคผมผลัดหลังจากการติดเชื้อภายหลังการติดเชื้อโควิด 19 อาจจะหายได้เร็วกว่าที่ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน
2. การพรางผมบาง ช่วยทำให้ภาพลักษณ์ของผู้ป่วยดีขึ้นได้ เช่น ทรงผม, การทำสีผมหรือการใส่วิก
3. การรักษาด้วยยาทาไมน็อกซิดิล อาจแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาทา 5% minoxidil solution วันละ1-2 ครั้ง หรือ 2% minoxidil solution วันละ 2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นผมให้ขึ้นใหม่ โดยอาจเริ่มใช้ตอนที่ผมเริ่มจะหยุดร่วง การทายานี้อาจทำให้เกิดผมร่วงในช่วงแรกๆที่ใช้ยาได้ และยังไม่จำเป็นต้องทายานี้เสมอไปในโรคผมผลัด เนื่องจากในภาวะนี้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้เองหลังสาเหตุกระตุ้นหมดไป
ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่อาจมีส่วนทำให้ผมร่วง เช่น ยารักษาความดันโลหิตสูงชนิด Beta blockers, ยารับประทานวิตามินเอและยากันเลือดแข็งตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยา ในผู้ป่วยที่รับประทานยานี้อยู่แล้วไม่ควรหยุดยาเองควรปรึกษาแพทย์ก่อน และการรับประทานเหล็กและวิตามิน เช่น สังกะสี, ไบโอติน, วิตามินดี ยังไม่ได้มีหลักฐานทางการศึกษาชัดเจนว่าจะมีส่วนช่วยรักษาโรคผมผลัดในผู้ป่วยไม่ได้มีภาวะขาดเหล็กหรือวิตามินดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากอาการผมร่วงไม่ดีขึ้นภายในระยะเวลา 3-6 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุอย่างละเอียด