
ได้ชื่อว่าเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังอย่างมากเมื่อเข้าสู่วัยชรา สำหรับ “พาร์กินสัน” โรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่ง ซึ่งพบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 รองจากโรคอัลไซเมอร์ มักเกิดในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี เป็นโรคเรื้อรัง หากปล่อยไว้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น หากสงสัยว่าเป็นโรคนี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อช่วยชะลออาการของโรค
“โรคพาร์กินสัน” หรือ “โรคสั่นสันนิบาต” เป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีการตายและลดจำนวนลง ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้า และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ
โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป และจะพบได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โรคนี้พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่า สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมของกลุ่มเซลล์ประสาทในสมองไม่สามารถสร้างสารโดพามีน สำหรับสาเหตุที่ทำให้เซลล์สมองมีการตายหรือมีจำนวนลดลง สันนิษฐานว่าเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มีผลร่วมกัน หากมีอาการบ่งชี้ของโรคพาร์กินสันควรไปพบแพทย์ เพราะหากรู้เร็วจะรักษาได้ไว และการรักษาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อาการแสดงของโรคพาร์กินสันจะแสดงออกมากน้อยแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ ระยะเวลาของการเป็นโรคภาวะแทรกซ้อน ทั้งนี้ อาการสำคัญของโรคพาร์กินสัน คือ อาการแต่ละอาการจะค่อย ๆ ปรากฏแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที แต่อาการจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะมีอาการเกี่ยวกับระบบประสาทสั่งการ ซึ่งเป็นอาการหลักของโรค ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะเกิดอาการสั่นที่นิ้วมือก่อน แล้วตามด้วยข้อมือและแขนในระยะแรกอาการสั่นจะเกิดขึ้นเพียงข้างเดียวก่อน แล้วต่อมาขาและเท้าอีกข้างจะเริ่มมีอาการสั่นตามมา และในที่สุดจะเกิดอาการสั่นทั่วร่างกาย
สำหรับการรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 วิธีคือ
1. การรักษาด้วยยา จะเป็นการรักษาหลักในระยะเริ่มต้นและระยะกลางของโรค แม้ว่ายาจะไม่สามารถทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นตัวหรือกลับมางอกทดแทนเซลล์เดิมได้ แต่ก็จะทำให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ จะช่วยบรรเทาอาการให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
2. การรักษาด้วยกายภาพบำบัด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้ถูกต้อง แก้ไขภาวะแทรกซ้อน ตัวอย่างเช่น ฝึกการเดินให้ค่อย ๆ ก้าวขาแต่พอดี โดยเอาส้นเท้าลงเต็มฝ่าเท้า และแกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยในการทรงตัวดี
3. การรักษาด้วยการผ่าตัด โดยจะได้ผลดีกับผู้ป่วยที่อายุน้อยและมีอาการไม่มาก รวมถึงผู้ป่วยที่มีอาการแทรกซ้อนจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลานาน เช่น อาการสั่นที่รุนแรง หรือมีการเคลื่อนไหวแขน ขา มากผิดปกติจากยา
ย้ำอีกครั้งว่า ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคพาร์กินสันให้หายขาดได้ หากได้รับการวินิจฉัยโรคและรับการดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยชะลออาการของโรคและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น