แม้คนส่วนใหญ่จะรู้จักโรคลมพิษ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าโรคลมพิษแบ่งออกได้หลายประเภท ทั้งยังมีความรุนแรงของอาการที่แตกต่างกัน ที่สำคัญหลายคนไม่ทราบว่าการกระทำหรือปัจจัยบางอย่าง อาจกระตุ้นให้ผื่นลมพิษเห่อขึ้น ไม่อยากเสี่ยงกับโรคลมพิษและอาการที่ทรุดหนักไปรู้จักโรคนี้แบบเจาะลึกกันเถอะ
ศ.พญ.กนกวลัย กุลทนันทน์ หัวหน้าภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ว่า โรคลมพิษ (Urticaria) เป็นโรคที่ผิวหนังมีลักษณะเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดงไม่มีขุย มีขนาดต่าง ๆ ได้ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ มีอาการคัน เกิดขึ้นเร็วและกระจายได้ทั่วตัว แต่ละผื่นมักจะคงอยู่ไม่นาน โดยมากมักไม่เกิน 24 ชั่วโมงผื่นนั้นก็จะราบไปโดยไม่มีร่องรอย แต่ก็อาจมีผื่นใหม่ขึ้นที่อื่น ๆ ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีริมฝีปากบวม ตาบวม ในบางรายอาจมีอาการปวดท้อง แน่นจมูก คอ หายใจไม่สะดวก รายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการหอบหืด เป็นลมจากความดันโลหิตต่ำได้
แต่ผู้ป่วยกลุ่มที่เป็นรุนแรงนี้ มีจำนวนน้อย โดยโรคลมพิษแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ
- โรคลมพิษเฉียบพลัน คือ ผื่นลมพิษเป็นมาไม่เกิน 6 สัปดาห์
- โรคลมพิษเรื้อรังคือมีอาการเป็นๆ หายๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/สัปดาห์ แต่มีอาการอย่างต่อเนื่องนานถึง 6 สัปดาห์ขึ้นไป
6 ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้ผื่นลมพิษเห่อขึ้น ได้แก่…
- อาหาร ผู้ป่วยที่มีผื่นลมพิษเรื้อรังบางราย อาจมีอาการลมพิษเห่อขึ้นเมื่อรับประทานอาหารบางชนิด
- ยา ยาบางชนิดเช่น ยาต้านอักเสบ (NSAIDs) แอสไพริน อาจทำให้ผื่นลมพิษเห่อขึ้นได้ ประมาณร้อยละ 20-30 ของผู้ป่วยโรคลมพิษเรื้อรังในช่วงที่โรคกำลังเป็นมาก
- ตัวกระตุ้นทางกายภาพ เช่น การกดรัดของเสื้อผ้าที่เป็นผ้ายืดหรือเข็มขัด ก็อาจทำให้ผื่นลมพิษเห่อขึ้นได้ในผู้ป่วยบางราย
- แอลกฮอลล์ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์สามารถกระตุ้นให้ผื่นลมพิษเห่อได้ เนื่องจากแอลกอฮอลล์จะทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัวขึ้น
- การติดเชื้อไวรัส อาจทำให้ผื่นลมพิษเห่อขึ้นได้ในผู้ป่วยบางราย
- ความเครียด อาจทำให้ผื่นลมพิษเห่อขึ้นได้ในผู้ป่วยบางราย ขณะเดียวกันโรคลมพิษเองก็ทำให้ผู้ป่วยมีความเครียดด้วยเช่นกัน