โรคติดเชื้อที่แสดงอาการบนผิวหนัง พบได้ทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ แต่ลักษณะของผื่น บริเวณที่เกิดโรค ความรุนแรงแตกต่างกัน โดยเชื้อที่ก่อโรคมี 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา และปาราสิต ในส่วนของเชื้อไวรัสนั้นโรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอีสุกอีใส, โรคงูสวัด และ โรคหูดข้าวสุกว่าแล้วเรามาทำความรู้จักทั้ง 3 โรคนี้กันดีกว่า
เบอร์ 1 : “โรคอีสุกอีใส” หรือ “โรคไข้สุกใส”
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสVaricella virusหรือ Human herpesvirus type 3 ติดต่อโดยการหายใจเอาเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศ มีระยะฟักตัว 10-20 วัน อาการเริ่มจากมีไข้ มีตุ่มแดงๆ คัน กระจายไปทั่วร่าง ต่อมาตุ่มแดงเปลี่ยนเป็นตุ่มใสๆ คล้ายหยดน้ำ จากนั้นอีก 2-3 วัน ก็จะตกสะเก็ด ตุ่มใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผื่นมีหลายแบบอยู่ในคนเดียวกัน
ในผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงและมีตุ่มขึ้นมากกว่าเด็ก โดยทั่วไปผื่นหายโดยไม่มีแผลเป็น ยกเว้นติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
เบอร์ 2 : “โรคงูสวัด”
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสVaricella zoster virusซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคสุกใส ดังนั้น ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคอีสุกอีใสจึงเสี่ยงเป็นโรคงูสวัดได้ทุกคนติดต่อผ่านทางการหายใจ และสัมผัสตุ่มน้ำใสโดยตรง ซึ่งเมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสซอสเตอร์จะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกายโดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ
จนเมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ เชื้อที่แฝงอยู่จะเพิ่มจำนวนและกระจายตามแนวเส้นประสาททำให้เกิดเป็นผื่นคัน แล้วกลายเป็นตุ่มใสเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาทผื่นงูสวัดจะเป็นแนวยาวซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเท่านั้น ไม่พันรอบตัว เพราะเส้นประสาท 1 เส้นเลี้ยงแค่ครึ่งหนึ่งของลำตัว แม้ผื่นงูสวัดหายไปแล้ว ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งอาจมีอาการปวดเรื้อรังบริเวณนั้นไม่หายขาด
เบอร์ 3 : “โรคหูดข้าวสุก”
เกิดจากเชื้อไวรัส Molluscumcontagiosum Virus เชื้อไวรัสนี้สามารถเข้าไปในผิวหนังที่แตกแห้ง ลอก หรือเป็นแผลและกลายเป็นหูดข้าวสุกได้ แต่ไม่มีผลกระทบต่ออวัยวะภายใน แม้เป็นโรคที่ไม่อันตราย แต่สามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้ อาการเริ่มจากมีจุดสีแดง ต่อมาเป็นตุ่มนูนสีเดียวกับผิวหนังขนาดต่างๆ กัน ตรงกลางตุ่มมักบุ๋ม ภายในตุ่มจะพบสารสีขาวแข็งคล้ายข้าวสุก ตำแหน่งที่พบบ่อยในเด็กจะอยู่ตรงช่วงลำตัว หน้าอก หลัง แขนขา ส่วนผู้ใหญ่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พบบริเวณอวัยวะเพศ
ระวังกันด้วยนะคะ!