หลังจากที่เราทำความรู้จักว่า Intermittent fasting (IF) คืออะไร รวมถึงวิธีการอดอาหารเป็นระยะๆ ว่ามีช่วงเวลาแบบไหนบ้าง จากบทความเรื่อง อดอาหารเป็นระยะๆ (IF) คืออะไร …ช่วยลดอ้วนได้? เพื่อให้เพื่อนๆ ที่สนใจมากขึ้นเกี่ยวกับการลดอ้วนด้วยรูปแบบการกินแบบไม่สม่ำเสมอแบบนี้ อยากลองทำดูแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
รู้หรือไม่ว่าปัญหาสุขภาพของคนส่วนใหญ่ เกิดการวิธีการกินในชีวิตประจำวัน วัฒนธรรมการกินของคนไทย ดินแดนแห่งอาหารอร่อย ทำให้เราเผลอละเลยการรักษาสุขภาพ นำไปสู่ภาวะความอ้วน แก่ และเจ็บป่วยในที่สุด เราไม่เคยรู้เลยว่า ความคิด ความเชื่อ วิถีปฏิบัติเกี่ยวกับการกินที่เราคิดว่าดีต่อสุขภาพนั้น แท้จริงแล้วไม่ถูกต้องตามหลักการทำงานของร่างกาย
อีกหนึ่งเทรนด์เรื่องสุขภาพคือการลดน้ำหนักแบบเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ โดยใช้สูตรหรือโปรแกรมที่มีความเป็นไปได้ เน้นการปรับพฤติกรรม ทำให้สมดุล มากกว่าการทำอะไรอย่างสุดโต่ง และหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่กำลังเป็นที่พูดถึง Pegan Diet มันคืออะไร และต้องทำอย่างไร สดสวยมีคำตอบมาฝากกัน
ความคิดบวกกับร่างกายและการลดน้ำหนักไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน ข้อดีอยู่ที่วิธีที่เราตั้งความตั้งใจและเป้าหมายให้มีความสุขที่สุดกับตัวเอง วิธีหนึ่งในการฝึกฝนสุขภาพแบบองค์รวมคือการท้าทายวิธีที่เราต้องเผชิญกับขนาด เมื่อพูดถึงการรักษาสุขภาพให้ดีการวัดจึงดูเหมือนเป็นเรื่องของสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ เรื่องของการชั่งน้ำหนัก
จากบทความเรื่อง 4 แนวทางการกินเพื่อสุขภาพและลดอ้วน ที่คาดว่าได้รับความสนใจในปี 2019 พูดถึง การลดน้ำหนักแบบกินตามช่วงเวลาหรือ Intermittent fasting เป็นหนึ่งในแนวทางการลดอ้วนที่จะได้รับความนิยมมากที่สุดในปี 2019 นี้
สำหรับเพื่อนๆ ที่ลดน้ำหนักด้วยการลดคาร์บ อาจสามารถลดน้ำหนักได้ 2-4 กิโลกรัม (บางครั้งก็มากกว่า) ในสัปดาห์แรก จากนั้นจึงลดน้ำหนักได้ตามความสอดคล้องหรือปัจจัยอื่นๆ
แม้ว่าการลดเฉพาะส่วนอาจไม่ใช่การใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีวิธีการหลายอย่างที่มาพร้อมหลักฐานว่าสามารถช่วยให้เราลดไขมันและทำให้ร่างกายกระชับ ตัวอย่างเช่น การออกกำลังกายที่มีความเข้มสูงและการออกกำลังกายที่มีส่วนร่วมของร่างกายได้รับการแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดในการลดเฉพาะส่วน
Ketogenic Diets หรือ คีโตเจนิค ไดเอท หรือที่หลายๆ คนคงเคยได้ยินแบบสั้นๆ ว่า “กินคีโต” เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของอาหาร โดยเป็นการเลือกกินไขมันและลดคาร์บ ซึ่งได้รับการคิดค้นเพื่อรักษาผู้ป่วยลมบ้าหมูในปี ค.ศ.1980 และใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิด 2 เพื่อลดน้ำหนักนั่นเอง
หลายคนพยายามลดน้ำหนักเพียงตั้งเป้าหมายไปที่ผลลัพธ์หรือเป้าหมายที่ต้องการบรรลุในตอนท้าย โดยทั่วไปเป้าหมายและผลลัพธ์จะเป็นน้ำหนักเป้าหมายสุดท้ายของเรา
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมันค่อยๆ ย่องเข้าหาเรา รู้สึกเหมือนตัวเองปกติแล้ววันหนึ่งเราก็เริ่มสังเกตเห็นว่ารูปร่างเปลี่ยนไปหรือน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นแบบงงๆ ที่สำคัญคือ ร่างกายไม่รู้สึกเหมือนเดิม