อีกหนึ่งโรคของดวงตาที่ใกล้ตัวมากกว่าที่คุณคิด โดย “โรคริดสีดวงตา” พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากเป็นพิเศษในเด็กวัยก่อนเรียนที่ชอบเล่นสกปรกทั้งวันโรคริดสีดวงตามักจะเกิดในภูมิภาคที่มีอากาศร้อน และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตาบอด!!
สิ่งที่น่ารู้เกียวกับ “โรคริดสีดวงตา”
- โรคริดสีดวงตา (Trachoma) เป็นโรคตาที่มีผลต่อ เปลือกตา ขนตา เยื่อบุตา กระจกตา ตลอดจนทางเดินของน้ำตา และมักเกิดทั้งสองตา
- สาเหตุหลักๆ ของโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Chlamydia trachomatis ซึ่งเป็นเชื้อสายพันธุ์ย่อยในกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่ากลุ่ม Chlamydia
- โรคนี้ติดต่อกันโดยการสัมผัสใกล้ชิด จากการสัมผัสขี้ตา หรือสารคัดหลั่งจากตา ลำคอ หรือจากจมูกของผู้เป็นโรค รวมทั้งจากแมลงวันที่ตอมตา และจากการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
อาการเริ่มแรกของโรคริดสีดวงตาจะมีการติดเชื้อที่เปลือกตา ทำให้เกิดตาแดง น้ำตาไหล มีขึ้ตา รู้สึกเหมือนมีผงเข้าตา เมื่อพลิกหนังตาดูอาจเห็นเป็นตุ่มเล็กๆ ทั้งนี้การติดเชื้อเพียงครั้งเดียวจะไม่ส่งผลเสียกับดวงตา
แต่ถ้ามีการติดเชื้อซ้ำก็จะเป็นอันตราย ทำให้เกิดการอักเสบของเปลือกตา เกิดพังผืดดึงรั้ง เกิดแผลเป็นบริเวณขอบเปลือกตา ซึ่งจะเป็นต้นเหตุให้ขนตาเก(มีทิศทางการงอกของขนตาผิดปกติ)ทำให้ขนตาเข้าไปบาดกระจกตา ผู้ป่วยก็จะมีอาการเจ็บตา และเคืองตามาก ส่งผลให้มีขี้ตามากขึ้น ขนตาที่ทิ่มกระจกตาก็จะทำให้เกิดแผลที่กระจกตา นานๆ เข้าการอักเสบจะลามเข้าถึงในตาทำให้เกิดเป็นฝ้าขาว
นอกจากนี้ผลจากการเกิดการอักเสบที่ดวงตาจะทำให้ท่อน้ำตาอุดตัน ทำให้ตาแห้ง ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตา และทำให้ตาบอดได้โรคนี้มักเกิดกับดวงตาทั้งสองข้าง ดังนั้นเมื่อลุกลามจึงทำให้ตาบอดทั้งสองข้าง
วิธีป้องกันโรคริดสีดวงตา
- ทำได้โดยการรักษาความสะอาดของใบหน้าเสมอ ระวังอย่าให้แมลงวันตอมดวงตา
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัวผ้าเช็ดหน้า
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งจากตา ลำคอ หรือจากจมูกของผู้เป็นโรค ถ้าบังเอิญไปสัมผัสโดยไม่ตั้งใจก็ต้องรีบทำความสะอาดร่างกายส่วนนั้นทันที