“โรคไอกรน” เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและพบมากในเด็ก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนจะพบผู้ป่วยมากขึ้น สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สามารถติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ จาม และสัมผัสเชื้อโดยตรงจากผู้ที่ป่วย
หากมีภาวะแทรกซ้อนระบบทางเดินหายใจขณะป่วยด้วยโรคไอกรน อาจส่งผลรุนแรงถึงตายได้!!
ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันหากได้รับเชื้อมีโอกาสเกิดโรคสูงถึงร้อยละ 90 ซึ่งจากการศึกษาของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี พบว่า…
ในผู้ป่วยเด็กที่มีอาการไอติดต่อกันอย่างน้อย 7 วัน แต่ไม่ได้เป็นวัณโรคและโรคหืด ตรวจพบเชื้อไอกรนถึงร้อยละ 19 ซึ่งระยะฟักตัวของโรคไอกรนจะใช้เวลาประมาณ 6 – 20 วัน หากสัมผัสเชื้อเกิน 3 สัปดาห์แล้วไม่มีอาการ ก็แสดงว่าไม่ติดโรค
อาการของโรคไอกรนมี 3 ระยะ
“ระยะแรก” ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำมูกไหล ไอเล็กน้อย ลักษณะอาการคล้ายกับเป็นหวัดธรรมดา อาจมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย และเป็นอยู่ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์
“ระยะที่สอง” จะเริ่มมีอาการไอถี่ ๆ รุนแรงติดต่อกันตั้งแต่ 5 ครั้งขึ้นไป หลังจากนั้น ผู้ป่วยจะหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียงวู้บ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า โรคไอกรน หากเกิดกับเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน อาจทำให้มีอาการหยุดหายใจ หน้าเขียว และอาเจียนร่วมด้วย ระยะนี้จะมีอาการนานประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่านั้นก็ได้
“ระยะฟื้นตัว” อาการไอจะค่อย ๆ ลดลง หากไม่มีโรคแทรกซ้อนจะหายไปในเวลา 6 – 10 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไอกรนอาจมีความรุนแรงจนจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิต ได้แก่ โรคแทรกซ้อนทางระบบหายใจที่พบบ่อย คือ ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในเด็กเล็ก นอกจากนี้ ยังมีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง ผู้ป่วยอาจมีอาการชัก เกร็ง หรือซึมลงด้วย
สำหรับการป้องกันโรคไอกรนที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน ซึ่งเป็นวัคซีนพื้นฐานที่เด็กทุกคนต้องได้รับ ปัจจุบันจึงได้มีการแนะนำให้วัคซีนป้องกันไอกรนในเด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่ที่อยู่ร่วมกันกับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ เพื่อลดโรคไอกรนในเด็กทารกที่มีภาวะแทรกซ้อน และอัตราการตายสูง
ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคไอกรนควรพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำอุ่น อยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี หลีกเลี่ยงสาเหตุที่กระตุ้นทำให้มีอาการไอมากขึ้น เช่น ฝุ่นละออง ควัน อากาศร้อนหรือเย็นเกินไป จะช่วยลดความเสี่ยงได้