ในเพศหญิง “ยาคุมกำเนิด” หรือ “ยาคุม” ถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ (บางรายกินยาคุมเพราะเชื่อว่าช่วยให้ผิวสวยหน้าใสขึ้นได้) แต่สำหรับหญิงข้ามเพศบางรายนั้น กิน “ยาคุม” เพราะเชื่อว่าจะทำให้หน้าอกโตขึ้น หารู้ไม่ว่าเจ้ายาเม็ดเล็กๆ นี้อันตรายมากๆ เพราะมีผลข้างเคียงต่อหลอดเลือดดำอุดตันได้!!
“ยาคุมกำเนิดแบบรับประทาน”
หรือ“ยาคุม” เป็นยาเม็ดที่ป้องกันการตั้งครรภ์โดยมีฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ของรังไข่ ในยา 1 เม็ดจะมีส่วนประกอบของเอสโตรเจน (estrogen) และโปรเจสเตอโรน (progesterone)
การข้ามเพศจากชายเป็นหญิง หรือหญิงเป็นชายนั้น มีการรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมน เพื่อลดฮอร์โมนเพศเดิม และเสริมฮอร์โมนเพศที่ต้องการ ซึ่งฮอร์โมนที่ใช้ในการข้ามเพศจากชายเป็นหญิง เพื่อช่วยปรับรูปร่างและเสียงให้เหมือนผู้หญิง มี 3 กลุ่มคือ
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีทั้งชนิดกิน ชนิดฉีด และแผ่นแปะหรือเจล แต่ที่แพทย์ไม่แนะนำให้กิน ได้แก่ อีอี หรือ ยาคุม เพราะมีผลข้างเคียงต่อหลอดเลือดดำอุดตันและโรคหลอดเลือดหัวใจ และยาคอนจูเกท เอสโตรเจน (Conjugate estrogen) หรือ พรีมาริน เพราะวัดระดับยาได้ยาก
- ฮอร์โมนต้านฤทธิ์แอนโตรเจน เพื่อลดผลของฮอร์โมนเพศชาย ที่ต้องระวังคือ ไซโปรเตอโรนอซิเตท (Cyproterone acetate) เพราะมีข้อกังวลเรื่องผลข้างเคียงต่อตับ
- ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เชื่อว่า เป็นฮอร์โมนสำคัญที่ทำให้เต้านมโตได้ดี แต่บางวิจัยพบว่าผลต่อเต้านมยังไม่ชัดเจน การใช้โปรเจสเตอโรน ร่วมกับเอสโตรเจน ในหญิงที่หมดประจำเดือน พบมะเร็งเต้านมสูงขึ้น ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะอาจทำให้เกิดหลอดเลือดดำอุดตัน โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองเพิ่มขึ้น
แม้จะไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิด แต่หากคนข้ามเพศจากชายเป็นหญิงที่อายุน้อยกว่า 35 ปี ก็ยังใช้ยาคุมกำเนิดเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงได้ ค่อนข้างปลอดภัย เพราะยาที่แนะนำให้กิน คือ 17-เบตา เอสทราดิอัล (17-beta estradiol) เอสทราดิอัลวาเลเรท (Estradiol Valerate) ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง และหาได้ยากในต่างจังหวัด แต่ถ้าเป็นคนที่อายุมาก หรือมีโรคประจำตัว หรือสูบบุหรี่ ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิด ให้เลี่ยงไปใช้ฮอร์โมนตัวอื่นแทน
แต่ปัญหาคือ คนข้ามเพศมีการใช้ฮอร์โมนตัวเดียวกันโดยไม่รู้ เนื่องจากมีหลากหลายชื่อ แต่เป็นตัวยาเดียวกัน ทำให้ได้รับตัวยาในขนาดที่สูงเกิน ฉะนั้นก่อนซื้อให้ดูชื่อตัวยาอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับฮอร์โมนเกินขนาด หรือถ้าไม่อยากพลาดแนะนะให้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ฮอร์โมน