แน่นอนว่าการอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่วัยแบเบาะช่วยพัฒนาสมองและการเรียนรู้ของลูกได้ดี แล้วยังส่งผลต่อการพูดและความเข้าใจภาษาของลูกให้เป็นไปอย่างรวดเร็วเมื่อถึงช่วงวัยที่ลูกเริ่มหัดพูด แต่การอ่านแบบไหนล่ะที่จะช่วยให้ลูกสามารถซึบซับได้ดีขึ้นไปอีก …. วิธีง่ายๆ ที่ได้ผลคือ การอุ้มลูกนั่งตัก แล้วอ่านหนังสือให้ลูกฟังค่ะ
เมื่อคุณอุ้มลูกนั่งบนตัก แล้วอ่านหนังสือให้ลูกฟัง สมองของลูกจะเกิดการซึมซับได้อย่างรวดเร็ว เป็นผลเนื่องจากได้รับการสัมผัสกายและสัมผัสใจจากพ่อแม่ หรือบุคคลที่อ่านหนังสือให้เขาฟัง เซลล์สมองของเด็กเล็กๆ จะเติบโตและแตกกิ่งก้านได้ดีก็ต่อเมื่อลูกได้รับการกระตุ้นให้ได้เรียนรู้ผ่านการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ โดยเฉพาะทางตาและทางหู ยิ่งมีการกระตุ้นมากเท่าไร เส้นใยสมองจะยิ่งเกิดมากขึ้น เด็กก็ยิ่งฉลาดมากขึ้นตามไปด้วย
สิ่งที่ลูกจะได้รับจากการอ่านให้ลูกฟัง
- ลูกจะได้เรียนรู้จากการฟังและการดู นำไปสู่การเรียนรู้ภาษาจากประสาทสัมผัสทางหู ลูกจะเก็บคำที่ได้ยิน ภาพที่ได้เห็นไว้ในสมอง ทำให้มีคำศัพท์เพิ่มขึ้นและสามารถเรียนรู้ในสิ่งรอบตัวมากขึ้น
- เมื่อลูกได้ฟังนิทานและมีการคิดตามลูกจะเกิดจินตนาการ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญก่อนนำไปสู่การคิดหาข้อเท็จจริงของลูก
- การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ทำให้สมองของลูกถูกกระตุ้นให้ลูกคิดและเรียนรู้ ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น ยิ่งลูกคิดบ่อยๆ คิดมากเท่าไรสมองของลูกก็จะยิ่งพัฒนามากขึ้นเท่านั้น
- การใช้ภาษาหรือคำพูดที่ดีของคุณในการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ทำให้ลูกเกิดการรับรู้ ได้ยินสำเนียงการพูด ภาษาที่หลากหลาย และน้ำเสียงที่อ่อนโยนของพ่อแม่ จากการฟังซ้ำๆ หลายๆ รอบ ในที่สุดลูกก็จะจดจำส่วนภาษาที่ดี สุภาพ และถูกต้องได้
ช่วงเวลาที่คุณอุ้มลูกนั่งบนตัก แล้วอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ถือเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุด เพราะคุณจะได้พูดคุยกับลูก โอบกอดลูก กอปรกับน้ำเสียงที่อ่อนโยน มีจังหวะจะโคนที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความเอ็นดู และอ่อนหวาน ทำให้ลูกสามารถรับรู้ถึงความรักที่คุณมีต่อเขาได้
นอกจากนี้ลูกยังได้รับการกระตุ้นประสาทสัมผัสทุกส่วน เช่น หู ตา จมูก ลิ้นและสัมผัสทางกายและใจ ยิ่งคุณทำบ่อยเท่าไร ลูกยิ่งได้รับความรักจากคุณพ่อแม่แม่ผ่านการเล่านิทานและอ่านหนังสือมากขึ้นเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมและเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ
