#หน้าสั่นแรง !!!
วันก่อนเฮียไปเจอ Hashtag นี้ในโซเชี่ยลดังอย่าง Twitter ของเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังโมโหกับเรื่องซื้อของแล้วไม่สามารถเปลี่ยนคืนได้ เฮียก็เลยได้แต่ปลอบไปแบบงงๆ ว่า ใจเย็นๆ เหตุที่อยากให้สงบอารมณ์ก็เพราะ… ความโกรธ โมโห เกรี้ยวกราดทั้งหลายนั้นเป็นการเปิดเส้นทางอันตรายที่ทำร้ายสุขภาพอย่างสาหัสอีกด้วย
การระเบิดอารมณ์โกรธทำให้เสี่ยงเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
อย่างที่คุณหมอ คริส เอเคน ผู้อำนวยการศูนย์บำบัดด้านอารมณ์แห่งนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา อธิบายว่าในช่วง 2ชั่วโมงแรกของการระเบิดอารมณ์โกรธคุณมีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เลือดอุดตันสมอง
โกรธเมื่อใด เสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตันสมองเมื่อนั้นเพราะ 2 ชั่วโมงที่เดือดดาลนี้ อาจเกิดลิ่มเลือดขึ้นไปอุดตันสมองได้ อีกทั้งยังเสี่ยงเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้มากกว่าปกติถึง 6 เท่า!
ร่างกายอ่อนแอทันที
มีงานวิจัยที่ชัดแล้วว่าแม้แต่คนที่มีสุขภาพดี ถ้าชอบเอาเรื่องเสียอารมณ์มาคิดซ้ำๆ จะส่งผลให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำงานต่ำลงจนป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ไม่ได้
กลายเป็นคนวิตกกังวล
ยิ่งขี้โมโห ยิ่งป่วยเป็นโรควิตกกังวลจากงานวิจัยกล่าวถึงความโกรธว่า ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรควิตกกังวลมากขึ้น
นิสัยขี้โมโหต่อสายตรงสู่ปัญหาคามเครียด
จากคำยืนยันของคุณหมอเอเคน เมื่อลองได้โกรธใครไม่ว่าจะระเบิดอารมณ์โกรธหรือหมกมุ่นอยู่เงียบๆ ก็ล้วนส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของความเครียด แต่คนที่ชอบเก็บกดคามโกรธไว้ไม่เอื้อนเอ่ยกับใคร ความเครียดจะยิ่งพุ่งสูงเร็วกว่
ทำลายปอด
ความคิดร้ายๆ (ต่อคนอื่น) ทำลายปอด เพราะแม้คุณไม่ใช่นักสืบแต่จากสถิติการเก็บตัวอย่างในผู้ชาย 670 คนต่อเนื่องนาน 8 ปีของฮาวาร์ดชี้ว่า คนที่มีแนวโน้มขี้โมโหและคิดร้ายต่อคนอื่นเป็นนิจ จะทำให้การทำงานของปอดแย่ลงและเสี่ยงต่อการมีปัญหาติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย
อายุสั้นลง
จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ศึกษาคู่ชีวิตหลายคู่นานกว่า17ปีพบว่าคู่ที่ชีวิตเต็มไปด้วยการถือโกรธต่อกันจะมีอายุสั้นกว่าคู่ที่ไม่ค่อยมีปากเสียง
อ่านจบแล้วคิดว่าคงถึงเวลาที่ใครหลายคนต้องมองหาวิธีการบัดอารมณ์โมโหร้ายกันด้วยล่ะครับ!