ฟังแค่ชื่อก็ไม่น่าพิสมัย ยิ่งเห็นอาการของโรค เชื่อว่าหลายคนคงขยาด โดย “โรคเรื้อน” เป็นโรคที่เราได้ยินกันมานานนม แม้จะคุ้นหูแต่เชื่อว่าหลายคนก็คงไม่รู้จักโรคนี้ดีพอ ทั้งยังคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวมากๆ แต่รู้หรือเปล่าว่า ในรอบปี 2558 นี้ ในบ้านเราพบผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ในคนไทยถึง 155 รายทีเดียว!
“โรคเรื้อน” (Leprosy, Hansen’s Disease)
เป็นโรคติดต่อเรื้อรังชนิดหนึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียตระกูลเดียวกับวัณโรค แม้อาการจะไม่รุนแรงเฉียบพลันจนทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายได้อย่างวัณโรค แต่กลับมีอาการลุกลามอย่างช้าๆ จนในระยะหลังทำให้เกิดความพิการที่มือ เท้า ใบหน้า และใบหู ทำให้เป็นที่รังเกียจแก่คนทั่วไป ทั้งที่จริงๆ แล้วการสัมผัสแตะต้องตัวกันไม่ได้ทำให้ติดเชื้อ การติดเชื้อส่วนใหญ่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นเวลานานหลายสิบปี
เชื้อโรคเรื้อนจะก่อให้เกิดอาการของโรคที่ผิวหนังและเส้นประสาทส่วนปลาย การอักเสบของเส้นประสาทส่วนปลาย จะทำให้กล้ามเนื้อที่ควบคุมด้วยเส้นประสาทเส้นนั้นฝ่อลีบไป ทำให้มือเท้าหงิก และกุดได้ในระยะท้ายของโรค
ในระยะแรกของโรคมักจะมีผื่นจำนวนเล็กน้อย บางรายมีผื่นเพียงแห่งเดียว ซึ่งหากรักษาเสียตั้งแต่ในระยะนี้ก็จะหายสนิท และไม่เกิดความพิการใดๆ เหลืออยู่ แต่หากปล่อยไว้เป็นเดือนเป็นปี โรคจะลุกลามอย่างช้าๆ มีผื่นจำนวนมากขึ้น ผื่นมีสีแดงก่ำ ผิวเป็นมัน ขนคิ้วร่วง จมูกยุบ ใบหูหนาและบิดผิดรูป หากมารับการรักษาในระยะนี้ แม้จะหายจากโรคได้แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขความพิการดังกล่าวได้
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีน หรือยาป้องกัน “โรคเรื้อน” แต่มียารักษาที่ให้ผลดี วิธีการเดียวที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ การตรวจร่างกายให้พบโรคได้เร็วที่สุด
หมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่ผิวหนัง เพราะเชื้อโรคเรื้อนมีระยะฟักตัวนานประมาณ 2 – 12 ปี กว่าจะปรากฏอาการ โดยผิวหนังจะเป็นรอยผื่นวงด่างขาว หรือแดง หรือเป็นตุ่ม นูนแดง ชา หยิกไม่เจ็บ ไม่คัน ขนภายในรอยวงร่วง เหงื่อไม่ออก
หากได้รับการรักษาคือกินยาเร็ว ยาเม็ดแรกจะฆ่าเชื้อในร่างกายได้มากถึงร้อยละ 99 ภายใน 3 – 5 วัน จะไม่มีความพิการ และไม่แพร่เชื่อสู่คนอื่น โดยโรคนี้ใช้เวลารักษานาน 6 เดือนถึง 2 ปี ขี้นอยู่กับความรุนแรงและชนิดโรค ดังนั้น หากเป็นโรคผิวหนัง รักษาไม่หายขาดใน 3 เดือน อย่าชะล่าใจ รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอย่างทันท่วงที